High School

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

เป็นประเทศที่น่าอยู่ บรรยากาศดี และมีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก

Lyon! One of the attractive destination.

ONLYLYON :the presentation of Lyon.

Lyon มนต์เสน่ห์เมืองเก่าและอาหารฝรั่งเศสที่อร่อยที่สุดในโลก
         ฤดูร้อนปีนี้ผลไม้สดในยุโรปพากันสุกโดยพร้อมเพรียงและมีปริมาณออกสู่ตลาดมากเป็นพิเศษ จึงมีผลไม้ให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลูกพรุน เชอร์รี สตรอว์เบอร์รี ไปจนถึงแตงโมและแคนตาลูปหวานเจี๊ยบ ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติก็น่าจะเป็นช่วงรื่นเริงเบิกบาน แต่บังเอิญโลกทั้งใบเจอเข้ากับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้คนเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เดินทางท่องเที่ยวไกลๆ เอาแค่ไปใกล้ๆ พอหอมปากหอมคอและใช้เงินอย่างระมัดระวัง แต่ถึงกระนั้นชาวยุโรปก็ยังไปอุดหนุนร้านกาแฟบนทางเท้ากันแน่นทุกที่นั่ง นั่นอาจเพราะเป็นวัฒนธรรมของพวกเขาก็เป็นได้ ส่วนราคากาแฟก็ไม่แพงนัก สั่งมาถ้วยเดียวเสียไปไม่กี่ยูโรแต่นั่งได้นาน  ทำให้บรรยากาศและเสน่ห์ของเมืองโดยภาพรวมยังดูดีอยู่

         ความจริงเสน่ห์ของยุโรปที่นอกเหนือจากวิวทิวทัศน์สวยสดงดงามราวกับปฏิทินก็คือการมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สามารถนับย้อนหลังได้เป็นพันๆ ปี แถมยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นถาวรวัตถุให้สืบค้นย้อนกลับไปได้อีกด้วย ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือคนยุโรปทุ่มเทและเก็บรักษาประวัติศาสตร์เหล่านั้นเอาไว้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการรักษาเขตเมืองเก่าที่หลายแห่งในปัจจุบันยังมีผู้คนอาศัยอยู่จริงและไม่ได้ร้าง

         เขตเมืองเก่าในยุโรปมีกฎหมายพิเศษควบคุมเคร่งครัด ห้ามทุบทำลายหรือดัดแปลงใดๆ โดยไม่ได้แจ้งขออนุญาตล่วงหน้า อีกทั้งการขออนุญาตอาจไม่ผ่านการพิจารณาง่ายๆ หากมีการกระทำอันควรเชื่อว่าจะกระทบกระเทือนต่อโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ใครฝ่าฝืนมีโทษปรับหนักทีเดียว ดังนั้นเวลาไปเที่ยวยุโรปตามเมืองเก่า ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าตึกเก่าบางหลังข้างหน้าดูโบราณมาก แต่ข้างในทันสมัยไฮเทค มีไฟฟ้า มีลิฟต์ มีอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ความเร็วสูง และอะไรต่อมิอะไรอย่างที่ตึกทันสมัยสร้างใหม่มี

         การรักษาสภาพของเขตเมืองเก่าเอาไว้อย่างเข้มงวดนี้ ทำให้การไปเยือนยุโรปกี่ครั้งกี่หนทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมหรือเกือบเหมือนเดิม ดังเช่นเมืองลียง (Lyon) ของฝรั่งเศส แม้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากปารีส แต่ชื่อเสียงความขลังของเขตเมืองเก่าก็เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างชะงัดยิ่งกว่าสิ่งใด

          ลียงเป็นเมืองเอกของแคว้นโรน-อัลป์ (Rh๔ne-Alpes) ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ถ้าออกเดินทางจากปารีสใช้ทางด่วนเส้น A6 ระยะทาง 464 กิโลเมตร ขับรถอย่างระมัดระวัง ไม่เพลินเร่งความเร็วจนโดนจับก็ราว 4 ชั่วโมงกว่าๆ ถ้านั่งรถไฟด่วน Euro-star รุ่นใหม่จะใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงก็ถึงเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้

         ลียงจัดว่าเป็นเมืองสวยอีกแห่งที่มีฮวงจุ้ยตรงตามตำรา คือตัวเมืองด้านหนึ่งติดภูเขา อีกด้านติดแม่น้ำ อีกทั้งยังมีแม่น้ำถึง 2 สายคือแม่น้ำโรน (Le Rh๔ne) และแม่น้ำโซน (La Sa๔ne) ทั้งสองสายไหลจากเหนือลงใต้ผ่ากลางเมืองลียง โดยแม่น้ำโซนอยู่ด้านซ้ายและแม่น้ำโรนอยู่ด้านขวา แล้วไหลไปบรรจบกันเมื่อเลยภูเขากลางเมืองออกไปสัก 2-3 กิโลเมตร ดังนั้นจึงเกิดเป็นเกาะกลางน้ำ ลักษณะเป็นแผ่นดินเรียวยาวคล้ายปากนกกระสา ซึ่งก็คือเขตเมืองเก่าของลียงที่เรียกบริเวณนี้ว่าแปรสกิล (Presqu'ile)

          การสำรวจเมืองเก่าของลียงที่ในอดีตมีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอาณาจักรโกล-โรมัน (ในยุคที่โรมันครอบครองยุโรป) ให้ได้อรรถรสมีอยู่วิธีเดียวคือการเดินเท่านั้น วิธีอื่นอาจใช้ได้เหมือนกัน แต่ไม่ครบถ้วน เพราะการเดินผ่านอย่างใจเย็นเข้าไปตามตรอกแคบๆ นั้น ประสาททุกส่วนของคุณจะได้รับรู้ถึงการสัมผัสในรูป รส กลิ่น เสียง และสี รวมไปถึงบรรยากาศสดๆ ยามท้องฟ้าทอแสงแดดให้สาดส่องผ่านผนังตึกเก่า ซึ่งแต่ละช่วงเวลามีมิติที่ไม่เคยเหมือนกันเลยสักวินาทีเดียว

          อย่างไรก็ตาม การเดินเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ อย่างปารีสหรือลียงที่มีตรอกซอกซอยมากมายก็ต้องระวังตัวจากพวกนักวิ่งราวเป็นพิเศษ พวกนี้ทำกันเป็นขบวนการอย่างมีระบบและซักซ้อมมาอย่างดี เราวิ่งไล่พวกมันไม่ทันแน่นอน ดังนั้นกระเป๋าสตางค์ควรเก็บให้มิดชิด แยกเงินสดและบัตรเครดิตเอาไว้ หากพลั้งเผลอจะได้ไม่หมดตัว แต่ก็ไม่ต้องกังวลจนทำให้การท่องเที่ยวกร่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นที่แนะนำให้เดินก็เพราะสภาพเมืองน่าเดินจริงๆ แต่จะซื่อตรงเดินกันอย่างเดียวก็เห็นทีคงขาลากหัวเข่าเสื่อมเป็นแน่ ทางที่ดีใช้ตัวช่วยที่เทศบาลเมืองลียงเขาทำไว้รองรับการเดินทางของประชาชนชาวเมือง ซึ่งนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็ได้ประโยชน์ไปด้วย นั่นคือการโดยสารรถไฟใต้ดินหรือที่เรียกว่าเมโทร

          เมโทรในเมืองลียงมีถึง 4 สาย คือ A, B, C และ D (สาย D เป็นระบบอัตโนมัติ ไม่มีคนขับ) ทั้งยังมีรถรางให้ใช้อีก 2 สาย (T 1 และ T 2) และมีรถเมล์อีกหลายสายนับไม่ถ้วน ขนส่งมวลชนทุกระบบใช้ตั๋วแบบเดียวกันหมด ราคาก็ไม่แพง และที่เหนือชั้นกว่าใครคือการทำระบบจักรยานให้เช่า ซึ่งช่วยให้การเดินทางหรือเที่ยวชมเมืองสะดวก รวดเร็ว และได้อรรถรสยิ่งขึ้น แถมยังไปอย่างเงียบๆ ไม่มีมลภาวะให้เป็นภาระของเมืองอีกด้วย สำหรับสถานที่ให้เช่าจักรยานก็กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยใช้ระบบคีย์การ์ดซึ่งไปหาซื้อแล้วเสียบเอาจักรยานออกจากที่

         ล็อกได้เลย ใช้นานกี่นาทีระบบก็จะหักเงินไปเรื่อยๆ (30 นาทีแรกฟรี) ระบบจักรยานให้เช่าแบบนี้เมืองท่องเที่ยวของไทยอย่างเชียงใหม่น่าจะนำมาใช้บ้าง

         เอาล่ะ เมื่อตกลงใจว่าจะเดินเที่ยว มีรองเท้าและแผนที่พร้อมก็ออกเดินกันเลย สำหรับมือใหม่แนะนำว่าควรเริ่มต้นที่ลานปลาซแบลกูร์ (Place Bellecour) ที่ลานนี้มีจุดสังเกตคืออนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงม้าอย่างสง่างาม ซึ่งชาวลียงภูมิใจหนักหนา เพราะประติมากรเป็นชาวลียงปั้นเองกับมือ

         หากมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่บนลานแล้วยังรู้สึกมึนตึ๊บ ไม่รู้จะเริ่มเดินไปตรงไหนก่อนดี ก็ให้เริ่มจากไปขอคำแนะนำหรือข้อมูลจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (Office du Tourisme) ที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนั้น เมื่อเข้าไปแล้วจะพบแผ่นโบรชัวร์พร้อมทั้งแผนที่แจกฟรีวางไว้เต็มไปหมด เลือกเฉพาะที่สนใจจริงๆ ไม่ควรโลภหอบมาให้หนักเปล่าๆ

         ลานปลาชแบลกูร์ของเมืองลียงนี้ยืนยันได้ว่าใครๆ ก็ต้องมา โดยเฉพาะบรรดาขาชอปทั้งหลาย เพราะรอบๆ ลานมีแต่ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคาร แล้วก็ถนนชื่อวิกเตอร์ อูโก (Rue Victor Hugo) ซึ่งเป็นชื่อนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสที่เขียนเรื่องได้สุดแสนรันทด มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ.1802-1885 ผลงานของเขาเป็นที่รู้จักทั่วโลก ทั้งขณะที่มีชีวิตอยู่และเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว วิกเตอร์ อูโกมีความสามารถหลายอย่าง เป็นทั้งนักประพันธ์ นักเขียนบทละคร จิตรกร นักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง 

         ถนนวิกเตอร์ อูโกนี้อวดความหรูของตัวเองด้วยสินค้าแบรนด์เนมทุกยี่ห้อของฝรั่งเศสและยุโรป จงเข้าไปรูดปื๊ดๆ กันให้หนำใจ และนอกจากถนนวิกเตอร์ อูโกแล้ว ลียงยังมีถนนคนเดินที่ปิดให้คนเดินอย่างเดียว ไม่มีรถวิ่งชื่อถนนเดอ ลา เรปูบลิก (Rue de la Republique) อันยาวเหยียดเดินกันขาลาก ปลายทางคือ H๔tel de Ville ถ้าเห็นคำว่า H๔tel ในฝรั่งเศสก็อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรงแรมไปเสียหมด เพราะที่จริงแล้วคือศาลาเทศบาลเมืองหรือ City Hall นั่นเอง

         ศาลากลางของลียงสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1646 มีหน้าบันสวยงามมาก ลานหน้าศาลาเทศบาลมีอ่างน้ำพุขนาดใหญ่ โดยฝีมือออกแบบของเฟรเดริค ออกุสต์ บาร์โธลดี  (Frederic Auguste Bartholdi) คนออกแบบอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพที่ฝรั่งเศสมอบให้เป็นของขวัญแก่ชาวอเมริกันเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1876 ในวาระครบรอบ 100 ปีของการประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ (เทพีเสรีภาพนี้จึงได้ไปยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนเกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตันในนครนิวยอร์ก ปัจจุบันกลายเป็นมรดกโลก) 

          อย่างไรก็ตาม ตัวเมืองเก่าจริงๆ ของลียง โดยเฉพาะเขตที่เรียกว่าลิเยอร์ ลียง (Vieux Lyon) ไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่ง ในอดีตถนนหนทางในนี้เป็นทางสัญจรของชาวลียงเนส์ (les Lyonnais) ยุคโบราณสุดคลาสสิก ลักษณะเป็นถนนแคบๆ แค่รถม้าผ่านได้ ซึ่งจะพาลัดเลาะไปตามตัวอาคารที่เคยเป็นย่านการค้าผ้าไหมอันมีชื่อเสียงของลียง 

         เดินเที่ยวอยู่ในเขตเมืองเก่าทั้งทีก็จงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนเขาบ้าง อย่างไรเสียก็ต้องเห็น The Basilique Notre-Dame-de-Fourvi่re โบสถ์คู่บ้านคู่เมืองของลียงที่สร้างในระหว่าง ค.ศ. 1872-1896 ถ้าสนใจไปชมก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าขึ้นไปได้ โดยขึ้นที่สถานีในเขตเมืองเก่า ซึ่งตัวโบสถ์ชูยอดแหลมเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองลียง มีรูปพระแม่มารีสีทองอร่ามโดดเด่นมาก ข้างในมลังเมลืองด้วยงานโมเสกชิ้นเล็กๆ ประดับเป็นภาพน้อยใหญ่ทั่วผนังโบสถ์ ชมโบสถ์ประจำเมืองแล้ว ขากลับลงเขาถ้ามีเวลาควรแวะชมโรงละครโบราณของชาวโรมัน ที่นักโบราณคดีคะเนว่าสามารถจุคนดูได้ถึงแสนคนทีเดียว

         อย่างไรก็ดี เมืองลียงไม่ได้มีเสน่ห์เฉพาะช่วงกลางวันเท่านั้น แต่กลางคืนก็สวยและโรแมนติกสุดๆ ยิ่งถ้าไปช่วงปลายปี อาคารสถานที่ต่างๆ กว่า 150 แห่งในเมืองลียงจะประดับไฟ ทั่วทั้งเมืองจะเหลืองอร่ามลออตาด้วยแสงสีแพรวพราว ชนิดที่ว่าสวยจนกลายเป็นเทศกาลชมแสงไฟยามค่ำระดับชาติไปแล้วเรียบร้อย ช่วงนั้นโรงแรมต่างๆ ถูกจับจองเต็มตลอดทั้งเดือน ที่มาที่ไปของเทศกาลนี้เริ่มมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ตอนนั้นมีโรคระบาดเกิดขึ้นในเมือง เมื่อโรคร้ายหายไปจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่ชาวเมืองลียงเชื่อว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงได้แสดงความขอบคุณด้วยการจุดเทียนบูชาไว้ตามบ้าน หลังจากนั้นจึงเป็นประเพณีที่ทำสืบต่อกันมาจนกลายเป็นมหกรรมใหญ่โตหยุดไม่อยู่เช่นในปัจจุบัน

         แน่นอนที่สุด เที่ยวแล้วท้องก็ต้องหิวเป็นธรรมดา ชาวลียงเนส์เขาก็แสนจะภูมิอกภูมิใจนักหนาว่าถ้าอยากกินอาหารฝรั่งเศสที่อร่อยที่สุดในโลกให้มากินที่ลียงเท่านั้น และนอกจากอร่อยแล้วยังเป็นเมืองที่มีร้านอาหารมากมาย จนได้ฉายาว่าเป็น “Capitale Mondiale de la Gastronomie” ของโลก ซึ่งก็คงจะจริง เพราะเชฟเก่งๆ เกือบร้อยทั้งร้อยมาจากลียงทั้งสิ้น ดังนั้นมาถึงถิ่นแล้วก็ต้องเข้าร้านกินอาหารฝรั่งเศสและไวน์ของที่นี่สักครั้ง อีกทั้งราคาก็ไม่แพงอย่างที่จินตนาการไปเองเลย ส่วนเครปของตาย... เอาไว้กินตอนเงินหมดละกัน


Reference : http://www.gourmetthai.com/newsite/travel/travel_detail.php?content_code=CONT992

เที่ยวสเปนดินแดนแห่งอารยธรรมสองทวีป

สเปน (Spain) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรสเปน (Kingdom of Spain) เป็นประเทศทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนคาบสมุทรไอบีเรียร่วมกับโปรตุเกสและอันดอร์รา สเปนมีพรมแดนติดกับฝรั่งเศสทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามแนวเทือกเขาพิเรนีส ประเทศเสปนเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมากค่ะ เพราะมีสภาพภูมิประเทศที่น่างดงาม และอารยธรรม อันน่าหลงไหล 

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ 



มาดริด (Madrid) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสเปน มาดริดเป็นหนึ่งในห้าเมืองที่ลงแข่งขันการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2012 ซึ่งแพ้ให้กับกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร 

บาร์เซโลนา (Barcelona) เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศสเปน ทั้งในด้านขนาดและประชากร บาร์เซโลนาเป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคยเป็นอาณานิคมของโรมันมาก่อน เคยถูกยึดครองโดยชาติต่าง ๆ หลายครั้ง บาร์เซโลนาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวยามราตรีที่รื่นเริงสนุกสนาน บาร์เซโลนามีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สำคัญมากมาย อาคารแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) ที่ดูแปลกประหลาดออกแบบโดยสถาปนิกชาวสเปนชื่ออันโตเนียว เกาดี (Antonio Gaudi) นับเป็นจุดดึงดูดด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ 

ปูเอร์ต้า เดล โซล ลานรูปไข่ ที่ตั้งอยู่และรายล้อมไปด้วยอาคารสีครีมแบบศตวรรษที่ 18 มีรูปปั้นหมีตั้งอยู่ตรงใจกลาง เป็นจุดที่มีลักษณะเด่น และผู้คนมักจะนัดพบกันมากที่สุด 


ปาลาซิโอ เรอัล พระราชวังหลวงเก่าของมาดริด ที่พระเจ้าเฟลิเป้ที่ 5 แห่ง ราชวงศ์บูร์บง สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1735 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลี่ยน ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 25 ปี ภายในวังตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ทั่วทั้งวังประดับประดาไปด้วยงานศิลปะล้ำค่ามากมาย 


ปลาซ่า มายอร์ (PLAZA MAYOR) จัตุรัสหินซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองตั้งอยู่ในย่านเก่าแก่ในกรุงมาดริด ในอดีตเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา เช่น พิธีราชาภิเษก และสนามสู้วัวกระทิง ปัจจุบันนี้ยังเป็นจัตุรัสกลางเมืองที่ยังคงมีบรรยากาศสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อยู่ รอบๆ บริเวณจะมีร้านกาแฟตั้งอยู่มากมาย สามารถเลือกใช้บริการได้ตามอัธยาศัย 

สโมสรฟุตบอล เรอัล มาดริด ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนานเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวมาดริด ถ้าเป็นคนรักการแข่งขันฟุตบอล ย่อมไม่มีใครที่ไม่รู้จักสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ 

วังเอล เอสโกเรียล ซึ่งเป็นวังหลวงที่พระเจ้าเฟลิปเป้ที่ 2 สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1563 และเสร็จในปี 1584 รวมระยะเวลาการสร้างนานถึง 21 ปี มีขนาดใหญ่โตและเป็นศิลปะการนำเอาวัด วัง และโบสถ์ผสมผสานประยุกต์เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว วังนี้มีประตูถึง 1,200 บาน และหน้าต่าง 2,673 บาน สิ่งที่น่าสนใจในวังนี้คือห้องสมุด ซึ่งว่ากันว่าใหญ่เป็นอันดับสองรองจากห้องสมุดของวาติกัน และเป็นแหล่งสะสมงานเขียนในภาษาอาหรับมากที่สุดในโลก 


ปราสาทอัลกาซาร์ (คำว่าอัลกาซาร์) ในภาษาอาระบิคแปลว่าปราสาท หลายคนเรียกปราสาทแห่งนี้ว่าปราสาทแห่งเทพนิยาย เพราะความสวยสง่างามที่มองเห็นได้จากภายนอก ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูงชันที่ที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 13 แล้วได้รับการต่อเติมในศตวรรษที่ 15 และ 16 มีลักษณะเหมาะแก่การตั้งรับข้าศึกในอดีต เพราะมีทั้งช่องใบเสมาขนาดใหญ่ ใช้สำหรับติดตั้งอาวุธยิงได้ และมีช่องสำหรับเทน้ำเดือดเพื่อทำลายกองทัพข้าศึกที่เข้าประชิดกำแพงเมือง ภายในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับแสดงของมีค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ห้องใต้หลังคาเป็นที่แสดงแสนยานุภาพของอาวุธในสมัยกลาง รวมถึงเครื่องมืเครื่องใช้ในอดีต และในปี ค.ศ. 1975 ยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนให้เซโกเบียเป็นมรดกโลกทางศิลปะวัฒนธรรม 


จัตุรัสเรดอนด้า ซึ่งเป็นตลาดในร่มรูปวงกลมมีร้านค้าแผงขายของจำพวกอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย เสื้อผ้าและงานฝีมือ 

มหาวิหารซากราด้า ฟามิเลียร์ สัญลักษณ์ของเมืองอันโด่งดัง สร้างขึ้นในปี 1882 ในแบบนีโอ โกธิค โดยมีฟรานเชส บิลาร์เป็นผู้ควบคุมงานสร้าง ในปี 1891 อันโตนี่ เกาดี้ รับช่วงต่อแทนและออกแบบงานชิ้นใหญ่ที่มีความสูงถึง 150 เมตร จนเกาดี้เสียชีวิตในปี 1926 จนบัดนี้งานชิ้นนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จ


สนามกีฬาคัมป์ นู สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีความจุมากกว่า 90,000 ที่นั่ง มีฉายาว่า ชามอ่างยักษ์ เป็นสนามเหย้าของ ทีมฟุตบอลสโมสรบาร์เซโลน่า ซึ่งเป็นทีมที่มีเกียรติประวัติต่างๆ มากมาย และเป็นความภาคภูมิใจของชาวคาตาลุนญ่า สนามแห่งนี้เป็นสปอร์ตคอม เพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่มีทีมกีฬาในสังกัดสโมสรบาร์เซโลน่าอยู่หลายขนิด แต่ ที่โด่งดังที่สุดคือทีมฟุตบอลบาร์เซโลน่า 

การเตรียมตัวก่อนเดินทาง

เอกสารที่ต้องนำมาแสดงในการขอวีซ่า


วีซ่าท่องเที่ยว 
1. คำร้องวีซ่าที่กรอกโดยสมบูรณ์ 2 ชุด (ไปรับแบบฟอร์มได้ที่สถานฑูต) 

2. หนังสือเดินทางอายุไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากวันที่คาดว่าจะสิ้นสุดการเดินทาง พร้อมสำเนา 1 ชุด 

3. รูปถ่ายพื้นหลังสว่าง (ใช้สีขาวได้เลย) ที่ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป (ถ่ายแบบให้เห็นหน้าชัดๆ) ติดบนใบคำร้องให้เรียบร้อย 

4. จดหมายรับรองการทำงาน 

5. จดหมายรับรองจากธนาคารBank Statement หรือสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากที่แสดงว่าผู้ขอมีฐานะทางการเงินเป็นของตนเอง เป็นระยะเวลาติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน หลักฐานการเงินของคนอื่น/ของบริษัท/หรือของผู้เชิญไม่สามารถนำมาใช้ประการการพิจารณาได้ 

6. เอกสารที่แสดงกำหนดหารเดินทาง ชนิดของยานพาหนะ เช่นหลักฐานการจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ ใบจองโรงแรมหรือ โปรแกรมทัวร์ 

7. ประกันการเดินทาง (สำเนากรมธรรม์จากบริษัทประกันภัย) ที่คุ้มครองวงเงินอย่างน้อย 30,000 ยูโร ประมาณ 1,500,000 บาท (เช็ครายชื่อบริษัทที่ทางสถานทูตรับรองด้วย) 

ในกรณีที่ผู้ขอวีซ่ามีผู้รับรองให้ที่พัก ผู้เชิญที่อยู่ในสเปนต้องแสดงเอกสารต่อไปนี้ 

1. เอกสารแสดงว่าจะเลี้ยงดูและให้ที่อยู่แก่ผู้รับเชิญ ระบุว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในขณะที่ผู้รับเชิญอยู่ในประเทศ 

2. เอกสารฐานะทางการเงินที่แสดงว่าสามารถรับรองค่าใช้จ่ายของผู้รับเชิญได้ 

3. สำเนาหนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เชิญ 

4. ในกรณีที่ผู้เชิญไม่ใช่คนสเปน จะต้องแสดงเอกสารรับรองการมีถิ่นที่อยู่หรือหลักฐานที่แสดงความเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเทศสเปน 

หมายเหตุ ถ้ามีคนรู้จักอยู่ในสเปน (ไม่จำเป็นต้องเป็นคนสเปน) สามารถออกจดหมายเชิญได้ โดยให้ระบุในจดหมายว่า ขอเชิญผู้ขอวีซ่าไปพักกับตนในระหว่างช่วงที่อยู่ในประเทศสเปน (พร้อมระบุช่วงเวลา) และให้ระบุที่อยู่ของผู้เชิญในจดหมายด้วย พร้อมแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาหนังสือเดินทาง (ไม่แน่ใจว่าเอกสารต้องทำเป็นภาษาสเปนเท่านั้นรึเปล่า ต้องลองเช็คกลับสถานทูตโดยตรง) ถ้าสามารถ ไปทำเอกสารที่เรียกว่า Acta Notaria ที่ออกโดยสำนักงานทนายความในสเปนได้ก็จะดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร 

ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า 3,120 บาท (เตรียมเงินให้ให้พอดี) 

ถ้าเตรียมเอกสารไปครบ การขอวีซ่าก็ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด 

Lake Rajada Office Complex, 
23rd Floor,Suites No.98-99,
193, Ratchadapisek Road, Klongtoey,
Bangkok 10110

Tel: 02 661 8284-6
Fax: 02 661 9220

สถานทูตเปิดรับยื่นเอกสารวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 9.00-12.00น. วันศุกร์ 9.00-11.00 น. แนะนำว่าให้ไปแต่เช้า จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องรับคิวยื่นเอกสาร ถ้าไปสายคิวยื่นเอกสารอาจจะเต็ม 

ข้อมูลเบื้องต้น : กรุงมาดริด 
พื้นที่ 504,750 ตารางกิโลเมตร 
ความยาวชายทะเล 4,964 กิโลเมตร 
ประชากร 43 ล้านคน 
เมืองหลวง กรุงมาดริด 
อากาศ มาดริดตั้งอยู่บนที่ราบสูง อากาศแห้งแล้ง โดยเฉลี่ยอุณหภูมิประมาณ 0-10 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว และ 25-35 องศาเซลเซียสในฤดูร้อน 
ภาษา ภาษาสเปน 
ศาสนา ร้อยละ 95 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก 
สกุลเงิน เปเซตา 
อัตราแลกเปลี่ยน ยูโร อัตราแลกเปลี่ยน 1 ยูโร : 50 บาท(โดยประมาณ ) 

การเข้าเมือง
ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยจะต้องขอรับการตรวจลงตรา (วีซ่า) ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการเดินทาง ก่อนเดินทางไปประเทศสเปน 

สิ่งที่ควรทราบสเปนเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศดี มีแหล่งอารยธรรมและวัฒนธรรมหลากหลายเหมาะสมกับการท่องเที่ยวจึงมีนักท่องเที่ยว ปีละกว่า 50 ล้านคน ดังนั้น จึงมีมิจฉาชีพในรูปแบบต่าง ๆ 

ในสถานที่ท่องเที่ยวต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเก็บรักษาเอกสารประจำตัวและทรัพย์สิน 
ในกรณีที่หนังสือเดินทางสูญหาย จะต้องแจ้งความที่สถานีตำรวจ และนำใบแจ้งความไปออกเอกสารเดินทางที่สถานเอกอัครราชทูต 
นักเรียนที่ประสงค์จะใช้เวลาเรียนนานเกินกว่าอายุวีซ่านักท่องเที่ยว จะต้องขอรับวีซ่าที่เหมาะสมจากสถานทูตสเปนที่กรุงเทพฯ ก่อนเดินทาง รายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาและสถานที่ศึกษาสามารถขอรับได้จากสถานทูตสเปนในกรุงเทพฯ หรือจากสถานทูตไทยในกรุงมาดริด 
ในประเทศสเปนมีคนไทยอาศัยอยู่ประมาณ 700 คน 
ท่าอากาศยาน ณ กรุงมาดริด คือ Barajas อยู่ห่างประมาณ 20 นาที โดยรถยนต์จากใจกลางเมือง และมีบริการแท็กซี่มิเตอร์เป็นพาหนะที่สะดวกที่สุด 
โรงแรมในสเปนแบ่งระดับจากหนึ่งถึงห้าดาว โดยมีอัตราราคาที่แตกต่างกัน 
ชาวสเปนรับประทานอาหารสายมาก หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ และเป็นประเพณีที่จะให้เงินค่าบริการ (tip) ในอัตราร้อยละ 5-7 ของค่าอาหารตามภัตตาคาร หน่วยราชการไทย 


อ้างอิง : http://travel.thaiza.com

การขอวีซ่าท่องเที่ยว ประเทศเยอรมันนี

การขอวีซ่า ประเทศเยอรมันนี

คำแนะนำในการขอวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยว (วีซ่าเชงเกน)

การยื่นคำร้องขอวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยวต่อสถานทูตเยอรมนีประจำกรุงเทพฯ จะกระทำได้ เมื่อท่านประสงค์ที่จะเดินทางไปพำนักในประเทศเยอรมนีเท่านั้น หรือเดินทางเข้าไปพำนักในประเทศสมาชิกเชงเกนประเทศอื่นๆ ด้วย แต่มีระยะเวลาพำนักในประเทศเยอรมนีนานกว่าประเทศอื่นๆ หรือกรณีที่มีระยะเวลาพำนักในแต่ละประเทศนานเท่ากัน ประเทศเยอรมนีต้องเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศสมาชิกที่ท่านจะเดินทางเข้าไป
สิ่งสำคัญที่พึงทราบ
1.ผู้ยื่นคำร้องจะต้องมายื่นคำร้องด้วยตนเองที่แผนกกงสุลของสถานทูตฯ เท่านั้น โดยติดต่อขอนัดหมายวัน-เวลายื่น คำร้องกับศูนย์บริการข้อมูลของสถานทูตฯ โทรศัพท์หมายเลข 1900 222 343 (โทรได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น)
2.โปรดมาถึงสถานทูตฯ ก่อนเวลานัดหมายของท่านอย่างน้อย 15 นาที เตรียมคำร้อง/เอกสารประกอบให้ครบถ้วน (พร้อมสำเนา) การมาล่าช้ากว่ากำหนดนัด อาจทำให้ท่านไม่สามารถยื่นคำร้องขอวีซ่าในวันนั้น ๆ ได้
3.สถานทูตฯ จะไม่รับคำร้องที่กรอกข้อความไม่สมบูรณ์ครบถ้วน และ/หรือมีเอกสารประกอบไม่ครบตามกำหนด
4.สถานทูตฯ จะไม่รับพิจารณาเอกสาร/หลักฐานใดๆ ที่จัดส่งมาให้สถานทูตฯ โดยตรง
5.โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำที่แจ้งไว้ในแผ่น “คำแนะนำทั่วไปในการยื่นคำร้องของวีซ่า”
นการยื่นคำร้องขอวีซ่า ท่านต้องแสดงเอกสาร/หลักฐานดังต่อไปนี้ (พร้อมสำเนารายการละ 1 ชุด)
หนังสือเดินทางฉบับจริงที่ยังมีอายุการใช้
บางกรณี ต้องแสดงหนังสือเดินทางเล่มเก่าที่ท่านเคยมีมาแล้วด้วย
รูปถ่ายแบบไบโอเมตริก 2 ใบ
แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่าเชงเกนที่กรอกข้อความครบถ้วน 1 ฉบับ
หลักฐานการประกันสุขภาพและอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางตลอดระยะเวลาที่ขอพำนัก วงเงินความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 30,000.--เหรียญยูโร และต้องรวมบริการนำตัวกลับประเทศในกรณีเจ็บป่วยด้วย รายชื่อบริษัทประกันใน ประเทศไทยที่สามารถให้บริการประกันแก่ท่านได้ ดูได้จาก หรือท่านจะทำประกันดังกล่าวกับบริษัทประกันในประเทศเยอรมนีก็ได้เช่นกันบริษัทประกันในประเทศไทยที่เปนที่ยอมรับของสถานทูต [pdf, 102,41k]
หลักฐานการเงินสำหรับการเดินทางและการพำนัก (ได้แก่หนังสือรับรองจากธนาคาร และสมุดบัญชีเงินฝากที่แสดงการเคลื่อนไหวทางด้านการเงินย้อนหลัง 3 เดือนสุดท้าย)
หลักฐานยืนยันการจองที่พัก/เที่ยวบินและอื่นๆ จากบริษัทนำเที่ยวและโรงแรมในประเทศเยอรมนี ตลอดระยะเวลาที่ขอพำนัก
สำหรับพนักงาน/ลูกจ้าง: ต้องแสดงหนังสือรับรองการทำงานและการอนุญาตให้ลาหยุดพักร้อนจากนายจ้าง (ที่ระบุตำแหน่ง จำนวนปีการทำงาน และเงินเดือนของท่าน)
หลักฐานอื่นๆ ที่แสดงถึงความพร้อมที่จะเดินทางกลับประเทศและแสดงถึงภาระผูกพันหรือความสัมพันธ์ของท่านในประเทศไทยเช่น ใบสำคัญการสมรส สูติบัตรของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ สำเนาทะเบียนบ้านหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท (กรณีประกอบอาชีพอิสระหรือเป็นเจ้าของธุรกิจ) โฉนดที่ดิน สัญญา เช่าบ้าน
สำหรับผู้เดินทางสัญชาติไทยที่อายุต่ำกว่า18 ปี ต้องแสดงหนังสือยินยอมให้เดินทางได้จากบิดา-มารดาหรือบุคคลผู้มีอำนาจปกครองตามกฎหมายกรณีบิดาหรือมารดาเพียงฝ่ายเดียวทำหนังสือยินยอม ต้องแสดงหลักฐานว่าบิดาหรือมารดาผู้นั้นเป็นผู้มีอำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียวจริง
ค่าธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียมในการดำเนินการราคา60.-- เหรียญยูโร กำหนดให้ชำระเป็นเงินสดสกุลบาทเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละวัน

คำแนะนำ
ในวันที่ยื่นคำร้อง ท่านต้องแสดงเอกสารทุกฉบับเป็นตัวจริงพร้อมสำเนาตามกำหนดพื่อที่สถานทูตฯ จะได้ตรวจสอบความถูกต้องของสำเนาได้ เอกสารตัวจริงทั้งหมด สถานทูตฯ จะคืนให้แก่ท่าน
ระยะเวลาดำเนินการตามปกติคือ 5 วัน (วันทำการ) ในบางกรณีอาจใช้เวลานานกว่านี้ได้
สถานทูตฯ ขอแจ้งให้ทราบว่าผู้ยื่นคำร้องไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้สถานทูตฯ ออกวีซ่าให้ แม้ว่าจะได้ยื่นเอกสารครบถ้วนแล้วก็ตาม ผลการตัดสินว่าจะได้รับอนุมัติวีซ่าหรือไม่ จะเป็นที่ทราบชัดเมื่อแผนกวีซ่าของสถานทูตฯ และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคำร้องและเอกสารต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องเรียกเอกสารอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
นอกเหนือจากค่าธรรมเนียม 60.- เหรียญยูโร แล้ว การดำเนินการทุกขั้นตอนตามระเบียบของเจ้าหน้าที่แผนกวีซ่าจะไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ อีก แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่า ท่านสามารถขอรับได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน

บริการต่างๆ ภายในห้องรับแขกใหญ่แผนกกงสุล
1) บริการกรอกแบบฟอร์มคำร้องวีซ่า ชุดละ 150 บาท
2) บริการถ่ายเอกสาร แผ่นละ 3 บาท
3) บริการถ่ายรูป (สำหรับทำหนังสือเดินทางและขอวีซ่า) 4 รูป 180 บาท
4) บริการส่งคืนหนังสือเดินทางและเอกสารทางไปรษณีย์ ค่าส่ 100 บาท ต่อเล่ม

ทั้งนี้ สถานทูตฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า บริการต่างๆ เหล่านี้ดำเนินการโดยบุคคลภายนอก ผู้ให้บริการมิได้เกี่ยวข้องเป็น เจ้าหน้าที่ของสถานทูตฯ แต่อย่างใด การขอรับบริการต่างๆ เป็นไปโดยสมัครใจ

ประตูบรานเดนบวร์ก (Brandenburg Gate, Brandenburger Tor)


ประตูบรานเดนบวร์กเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกรุงเบอร์ลิน เพราะเป็นประตูเมืองเก่าแก่ ได้รับการก่อสร้างระหว่าง ค.ศ.1788 ถึง ค.ศ. 1791 ตามศิลปะแบบโรมัน โดยฝีมือของ C.G.Langhans เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพของประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ที่ Pariser Platz และถนน Unter den Linden ปัจจุบันเป็นประตูที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียว จากทั้งหมดหลายแห่งที่เข้ากรุงเบอร์ลิน สถานที่แห่งนี้ถือยังเป็นเครื่องหมายแห่งความสงบสุข และมีความสำคัญโดยเป็นจุดแบ่งกรุงเบอร์ลินออกเป็น 2 ส่วนคือตะวันออกและตะวันตก ด้านบนมีรูปปั้นชื่อ Quadriga สูง 5 เมตร มีราชินีแห่งชัยชนะ (Siegesgoettin Viktoria) ควบขับรถเทียมม้า 4 ตัว มุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออกของเบอร์ลิน ในมือถืออิสริยาภรณ์กางเขนเหล็กกับพวงมาลัยใบมะกอก และนกอินทรีซึ่งเป็นสัตว์ที่แสดงอำนาจของยุคปรัสเซียร์ (Preussen, Prussia)