High School

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แดนในฝัน

หลงใหลกลิ่นอายเมืองเก่า และวิวเทือกเขาแอลป์ที่โซโลธูร์น (Lisa)

Switzerland

Solothum Switzerland

Solothum Switzerland

หลงใหลกลิ่นอายเมืองเก่า และวิวเทือกเขาแอลป์ที่โซโลธูร์น (Lisa)


สวิตเซอร์แลนด์.......เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของเหล่านักท่องเที่ยวของชาวไทย ด้วยความเลื่องลือทางด้านภูมิประเทศที่งดงาม  อากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์  ที่ไม่ว่าใครๆ ที่ได้ไปเยือนแล้วล้วนแต่ต้องมนต์ขลังของดินแดนแห่งหุบเขา  และทะเลสาบแห่งนี้


มีหลายเมืองในสวิตเซอร์แลนด์ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่นิยม  ไม่ว่าจะเป็น ซูริก เบิร์น ลูเซิร์น เจนีวาร์ หรือโลซาน  แต่ละเมืองล้วนมีความสวยงามและเสน่ห์ที่หลากหลายแตกต่างกันไป  คราวนี้จึงขอแนะนำเมืองเล็กๆ ที่สวยงามเหมาะกับผู้ชื่นชอบเมืองเก่าที่มีความสงบ และสะท้อนถึงวิถีชีวตที่เรียบง่ายอันแสนน่ารักและอบอุ่น


โซโลธูร์น (Solothurn)  เป็นเขตการปกครองเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ใกล้บริเวณเขตที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส  มัเทิอกเขายูรา (Jura) พาดผ่าน  ทางตอนใต้คือเบิร์น

Solothum Switzerland

Altstadt Solothurn 
เป็นเมืองเก่าอยู่ใจกลางของเมืองโซโลธูร์น ได้ชื่อว่าเป็นเมืองสถาปัตยกรรมบาร็อกที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งสะท้อนความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบาร็อกได้อย่างดีเยี่ยม มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน  สร้างขึ้นเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1530 -1792 ทางเข้าเมืองด้านหนึ่งเป็สะพานเขบ้าแม่น้ำอาเร่ (Aare) ที่ไหลผ่านกลางกรุงเบิร์นด้วย 

ภายในเมืองเป็นเขตถนนคนเดินโดนเฉพาะ  สองข้างทางเรียงรายด้วยร้านเล็กๆ ทั่วไป จำหน่ายเสื้อผ้าและของที่ระลึก (แต่เมืองนี้ไม่ถือเป็นเมืองช้อปปิ้ง) รวมทั้งบรรดาคาเฟ่ที่มีบรรยากาศน่านั่ง และมีขนมหวานน่าตาน่ารับประทานไว้แกล้มกับน้ำชา  ขนมมขึ้นชื่อคือเค้กที่เรียกว่า Solothurn Khuchen  ในยามเช้าจะมีร้านดอกไม้สวยๆ และผลไม้สดมาตั้งขายริมทางด้วย เป็นตลาดยามเช้าที่มีบรรยากาศที่ส
ดชื่อมากเลยทีเดียว

Solothum Switzerland

หลากหลายสถาปัตยกรรม 
สถาปัตที่โดดเด่นคือ มหาวิหาร St. Ursus Cathredral  เป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ St. Ursus of Solothurn ผู้สถาปนาเมืองขึ้นในยุคกลางซึ่งเคยมีมาก่อนสตั้งแต่สมียจักรวรรดิโรมัน  มหาวหารนี้เริ่มสร้างขึ้นด้วยต้นยุคคลาสสิก และมีการบูรณาขึ้นมาใหม่จนเป็นสแบบที่เห็นในปัจจุบัน  มีหอคอยสูง 66 เมตร  ยอกโโมทรงหัวหอมที่เปิดให้ชมทิวทัศน์รอบเมืองได้ บันไดทางขึ้นเป็นศิลปะแบบอิตาลี่อันโอ่โถงสวยงามตระการตา


นอกจากนี้ภายในเมืองยังมีโบสถ์เยซูอิต (Church of the Jesuit) หนึ่งในอาคารแบบบาร็อกที่สวยที่สุดของ สวิตเซอแลนด์ และหอนาฬิกามีขนาดที่ใหญ่สวยงามอีกด้วย  นับเป็นเมืองโบราณที่มีบรรยากาศที่สวยงาม เงียบสงบและอบอุ่นทีเดียว เหมาะกับวันสบายๆยิ่งนัก


เมืองแห่งเลข 11
เลข 11 เป็นเลขประจำเมืองมาตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ว่าจะเป็นประตูเมือง บ่อน้ำพุ (ซึ่งชาวเมืองในอดีตใช้ซักผ้าบ่อน้ำพุในโซโลธูร์นนับได้ว่าถูกสร้างขึ้น อย่างวิจิตรบรรจงกว่าที่อื่น) ป้อมปราการ โบสถ์ล้วนแต่มีจำนวนอย่างละ 11ทั้งสิ้น นอกจากนี้้ โซโลธูร์นได้ผนวกเข้าเป็นรัฐหนึ่งในสหพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ละดับที่11 ในปี ค.ศ. 1295 อีกด้วย จะเห็นว่าแม้แต่หน้าปัดนาฬิกาโบราณที่พบในเมืองก็มีถึงแค่เลข 11 เท่านั้น และยังม่ีโรงกลั่นและมีโรงผลิกเบียร์ชื่อ Oufi ที่ในภาษาสวิต-เยอรมัน แปลว่า11


Solothum Switzerland


Weissenstein

อีกหนึ่งสถานทีท่องเที่ยวที่ใครได้มา โซโลธูร์นต้องไปเยือนที่ Weissenstein (แปลว่า หินผาสีขาว) เป็นจุดชมทิวทัศน์ของทิวเขาแอลป์ที่ชัดเจน และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้  ผู้มาเยือนจะได้นั่งเก้าอี้ไฟฟ้าขึ้นเขา ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขายูรา ชมวิวเทือกเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์เป็นแนวยาวสุดลูกตา

     โดยมียอดเขาสำคัญ 3 ยอด ได้แก่ ไอเกอร์ (Eiger)  ม็องซ์(Monch)  และยุงเฟรา(Jungfrau) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ ในสวิตเซอร์แลนด์  ด้วยความสูงมากกว่า 4,000 เมตร รวมทั้งทะเลหมอกในวันที่อากาศเป็นใจ ในวันที่ฟ้าใสจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีครามตัดกับภูผาสีขาว-งดงามจับตายิ่งนัก  และเป็นสถานที่ที่เหมาพสมกับการเดินทางไกล ด้วยบรรยากาศที่สวยงาม  และมีอากาศที่บริสุทธิ์ ช่วยสร้างความประทับใจได้ไม่รู้จักลืม

Solothum Switzerland

Fast Facts

  • การออกเดินทางไปโซโลธูร์น จากซูริกสถานีรถไฟที่ซูริก Zuric Main Station  มีรถไฟ ICN และ IR ออกเดินอทางไปยังโซโลธูร์น โดยที่สิ้นสุดปลายทางที่เจนีวา  ในทุกๆชั่วโมง  ใช้เวลาประมาณ 55 นาทีเท่านั้น
  • การเดินทางจากเบิร์น  มีรถไฟไปยังโซลธูร์นเช่นกัน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
  • การเดินทางไป  Weissenstein สามารถขึ้นรถไฟจากสถานีโซโลธูร์นสาย Solothurn - Moutier แล้วขึ้นสกระเช้าไปยังจุดชมวิว
  • ภาษาที่ใช้คือภาษาเยอรมัน และภาาท้ืองถิ่นคือภาาสวิส (Dialect) โดยผู้คนที่นี่สามาราถใช้ภาษาอังกฤษกับนักท่องเที่ยวได้
  • คุณสามารถเดินทางในสวิตเซอร์แลนด์ได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยการคลิก   www.sbb.ch   พิมชื่อเมืองต้นทางและที่หมายที่ครุณต้องการจะไป  จากนั้นก็จะมีแผนการอย่างละเอียดให้คุณพิมพ์ออกมาด้วย
  • สามารถดูรายละเอียดการท่องเที่ยวของโซโลธูร์นได้ที่  www.solothurn-city.ch

ขอขอบคุณ http://travel.kapook.com/view19217.html




สะพานบาสไต เสน่ห์สะพานหินธรรมชาติแห่งเยอรมันนี

      หากถามว่าสะพานธรรมชาติที่ไหนมีความสวยงามที่สุดในโลก แน่นอนว่า สะพานบาสไต (Bastei Bridge) ก็น่าจะเป็นหนึ่งในสุดยอดสะพานหินธรรมชาติที่ใครเห็นเป็น ต้องร้องว้าว! เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสวยงามมากที่สุดในในเขตรัฐซัคเซิน (Sachsen) หรือ รัฐแซกโซนี (Saxony) รัฐหนึ่งในประเทศเยอรมนี






สะพานบาสไต ตั้งอยู่บนยอดเขาบาสไต (Bastei Rock) ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแซกซอนสวิตเซอร์แลนด์ (Saxon Switzerland National Park) ใกล้ๆกับเมือง ราเท่น (Rathen) อุทยานแห่งชาติเป็นศูนย์กลางของพื้นที่ธรรมชาติของเกือบ 710 ตารางกิโลเมตร (274 ตารางไมล์)



โดยสะพานบาสไตนั้นเป็นสะพานหินธรรมชาติที่เชื่อมต่อกับยอดหินเหนือแม่น้ำเอลเบอ หรือ แม่น้ำเอลเบ (Elbe River) หนึ่งในแม่น้ำสายหลักในยุโรปกลาง มีต้นน้ำมา จากทิวเขารีเซนเกเบียร์เกอ ในสาธารณรัฐเช็กไหลไปทางเหนือ ผ่านเข้าไปในประเทศเยอรมนี


สะพานบาสไตตั้งอยู่เหนือแม่น้ำเอลเบอประมาณ 200 เมตร (ประมาณ 650 ฟุต) ปัจจุบันเป็นหนึ่งในจุดชมวิวทางธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติแซกซอนสวิตเซอร์แลนด์ รวมไปถึงทัศนียภาพอันงดงามของป่าโดยรอบยอดเขาบาสไตอีกด้วย

เที่ยวยุโรปตะวันออก : ข้อมูลท่องเที่ยวออสเตรี

ข้อมูลเที่ยวออสเตรีย ทัวร์ออสเตรีย

ประเทศออสเตรีย หรือ สาธารณรัฐออสเตรีย (Republic of Austria) (ภาษาเยอรมัน: Österreich, ภาษาโครเอเชีย: Austrija, ภาษาฮังการี: Ausztria, ภาษาสโลวีเนีย: Avstrija) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในยุโรปกลาง มีอาณาเขตทางเหนือจรดประเทศเยอรมนีและสาธารณรัฐเช็ก ทางตะวันออกจรดสโลวาเกียและฮังการี ทางใต้จรดสโลวีเนียและอิตาลี และทางตะวันตกจรดสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์ มีการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนภายใต้หลักการของรัฐสภา

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของ ออสเตรีย

ในการประชุมทั่วไปขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ(UNESCO) ปี 1972 ได้มีการลงนามรับรอง “ข้อตกลงเรื่องมรดกโลก” เป้าหมายเพื่อคัดเลือกสถานที่ที่เป็นมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม และเพื่อกำหนดรายละเอียดกฎเกณฑ์การเป็นมรดกโลก อาทิ ต้องไม่ใช้พื้นที่แสวงหาผลประโยชน์ มีคุณค่าต่อมวลมนุษย์ชาติ การจัดตั้งข้อตกลงดังกล่าว เพื่อสนับสนุนให้มีการปกป้องมรดกโลกอย่างจริงจังด้วยความมานะพยายามและร่วม มือกันทุกฝ่าย
ร่วมเดินทางไปกับเรา เพื่อชมแหล่งวัฒนธรรมสำคัญ เช่น พระราชวังเชินบรุนน์, เขตเมืองเก่าของเวียนนา, ซาลสบูร์ก และ กราซ ผ่านทัศนียภาพงดงามจับใจของหุบเขาวาเคาและทะเลสาบนอยซีดแลร์ ความน่าทึ่งของทะเลภูเขาสูงจรดขอบฟ้าแถบฮาลชตัดต์/ดัคชไตน์ และ ซาลสคัมแมร์กูท ตามด้วยเส้นทางรถไฟบนภูเขาที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรปเหนือเขตเซมแมริง ภูมิประเทศซึ่ง วัฒนธรรม ธรรมชาติ และเทคโนโลยีผสานเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมของออสเตรีย (Austria’s World Cultural Heritage Sites):
กราซ
บริเวณ ศูนย์กลางเมืองเป็นเขตเมืองเก่าดั้งเดิมที่ตั้งมานานหลายศตวรรษแล้วทอดตัว อยู่เชิงเขาชลอสแบร์กพร้อมหอนาฬิกาที่มีชื่อเสียง กราซเป็นแหล่งรวมสถาปัตยกรรมต่างๆจากทุกสมัย ทั้งโกธิค เรอเนส์ซองส์ และบารอก จนถึงยุคย้อนยุคและยุคยูเกนดัชทิล(อาร์ตนูโว) หากต้องการชมรูปแบบชีวิตในยุคกลางชัดๆต้องไปอาร์เมอรี่ที่โด่งดัง ตรอกซอกซอยในเขตเมืองเก่าคือพยานของวัฒนธรรมอันโดดเด่นที่มีอายุยาวนาน หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตผู้คนด้วยท่วงทำนองแห่งศิลปะ และวัฒนธรรม แม้ว่าทางด้านการเมือง กราซจะเฟื่องฟูอยู่เพียงช่วงสั้นๆ ก็ตาม
ฮาลชตัดต์ – ดัคชไตน์/ซาลสกัมแมร์กูท 
ใจ กลางดินแดนแห่งเทพนิยาย ซาลสกัมแมร์กูท มีพลอยเม็ดงามประดับอยู่เชิงเขาดัคชไตน์ที่สูงตระหง่าน แผ่นดินทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมนี้คลุมอาณาบริเวณเมืองฮาลชตัด ต์, โกเซา, โอแบร์ทราวน์ และบาดกอยแซร์น รวมกันเป็นศูนย์กลางของอินเนอร์ซาลสกัมแมร์กูท ดินแดนซึ่งมีวัฒนธรรมสืบทอดต่อกันมานานถึง 3,500 ปี เหมืองเกลือ ที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยกลางของยุคสำริดสร้างความเจริญให้ท้องถิ่น เที่ยวชมสถาปัตยกรรมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวด้วยการประดับเครื่องไม้ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากจารีตประเพณีที่ยังคงมีพลังและชีวิตชีวา
ทะเลสาบนอยซีดแลร์ 
ทะเลสาบ แบบทุ่งหญ้าสเตปที่ใหญ่ที่สุดใจของยุโรปกลาง ห้อมล้อมไปด้วยพงไม้น้ำและพงหญ้าสีทองมีทิวไร่องุ่นอยู่ริมขอบฟ้า เป็นทะเลสาบระหว่างประเทศของออสเตรียและฮังการี แนวชายแดนคือเขตที่ราบลุ่มริมทะเลสาบเต็มไปด้วยพงอ้อ รอบนอกทะเลสาบงดงามด้วยไร่องุ่น และทุ่งกว้างที่เหล่าปศุสัตว์อาศัยหากิน มีอนุสรณ์ทางโบราณคดี เหมืองหินปูน อารามโบราณ บ้านชาวนา และปราสาท เป็นเครื่องยืนยันการตั้งถิ่นฐานผู้คนในบริเวณนี้ โดยมีทะเลสาบนอยซีดแลร์ ทำหน้าที่ประดุจเบ้าหลอมวัฒนธรรม
ซาลสบูร์ก 
ซาลสบูร์ก ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงก้องโลกเรื่องความงามที่หาใครเทียบไม่ได้ ทั้งรูปแบบอาคารบ้านเรือน ทัศนียภาพของสิ่งแวดล้อม และเรื่องของพรหมลิขิตที่บันดาลให้วอล์ฟกัง อะมาเดอุส โมสาร์ต ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ เมื่อค.ศ. 1756
ความเจริญมั่งคั่งอันยาวนานหลายร้อย ปี มีรากฐานจากการค้าเกลือซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “ทองคำขาว” จนเป็นเหตุให้ เจ้าชาย อาร์คบิชอปสร้างเมืองขึ้น ด้วยลักษณะแบบอิตาลี ทั้งอาคารทางศาสนามากมายกับบรรยากาศเฉพาะของเมือง ซาลสบูร์กจึงได้สมญานามว่า “โรมแห่งภาคเหนือ”
เชินบรุนน์ 
ที่ ประทับฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับสเบิร์กและสวนสัตว์ที่มีชื่อเสียงได้รับคะแนน เป็นอันดับต้นในจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเวียนนา อาคารพระราชวังหลวงแห่งเชินบรุนน์ บริเวณโดยรอบ และอาคารใกล้เคียงจัด คือ อนุสรณ์สถานทางศิลปะและวัฒนธรรมแห่งสำคัญของยุคบารอก
อย่างดี เดอะกลอเรียตที่อยู่เหนือพระราชวังมีลานกว้างมองเห็นทิวทัศน์เวียนนาเยี่ยง “จักรพรรดิ” ได้ทุกทิศทาง สวนสัตว์เชินบรุนน์เป็นหนึ่งในสวนสัตว์ที่เก่าแก่และดีที่สุดในยุโรป ดำเนินงานภายใต้แนววิทยาการทันสมัย ไฮไลท์อีกแห่งในบริเวณพระราชวัง คือ ปาล์มเฮาส์ ที่โดดเด่น เพราะรูปแบบก่อสร้างและเป็นสถานที่รวบรวมพันธุ์ไม้หายากจากนานาประเทศ

ทางรถไฟสายเซมเมอริง 
เส้น ทางที่มีทิวทัศน์สวยที่สุดจากเวียนนาลงไปทางใต้ของออสเตรีย ทางรถไฟผ่านเขต ‘ภูเขาวิเศษ’ เซมเมอริง เมื่อปี 1841 คาร์ล ฟรีดริค คูเบ็ค ว่าจ้างให้สร้างทางรถไฟไปยังทริเอสเต แต่วิศวกรโยธาจากเวนิส คาร์โล ดิ เกห์กา ผู้ได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ได้ตัดทางรถไฟผ่านช่องเขาที่สูงเกือบ 1,000 เมตร ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นทางรถไฟที่สูงที่สุดในโลก โดยใช้เวลาก่อสร้างเพียง 6 ปี คือระหว่างค.ศ. 1848 – 1856
ในยุคนั้น โครงการที่ท้าทายนี้ได้รับคำสรรเสริญว่าเป็นการผสานเทคโนโลยีกับธรรมชาติได้ ลงตัวที่สุด และยังคงได้รับคำสรรเสริญนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันเขตเซมเมอริง-แรกซ์ – ชนีแบร์ก ถือเป็นแหล่งที่หมายของการพักผ่อนที่มีระดับของยุโรป เส้นทางรถไฟกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่บนภูเขาอย่างทั่วถึง กระท่อมพักแรม และกิจกรรมแบบอัลไพน์ ช่วยเกื้อหนุนการให้บริการของที่พักแบบพื้นเมืองที่มีอยู่หลายประเภท
วาเคา 
วา เคาคือดินแดนช่วงสั้นๆ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำดานูบ (เพียง 22 ไมล์จากความยาวทั้งสิ้น 1,740 ไมล์ ) ที่มีลักษณะภูมิทัศน์หลากหลาย มีโบราณสถานทางวัฒนธรรมและหมู่สถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ ตามเมืองเล็กเมืองน้อยเรียงรายตลอดสองฝั่งแม่น้ำ
ลักษณะที่สร้างความโดด เด่นให้แก่วาเคา คือ ความงามตามธรรมชาติ ทั้งสายน้ำดานูบที่คดเคี้ยว ทุ่งหญ้าและพุ่มไม้เขียวชอุ่มริมฝั่ง หน้าผาหินขรุขระ และความงามที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ไร่องุ่นขั้นบันได หมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัว ฟาร์ม โบสถ์ ปราสาท และซากโบราณสถาน ความพิเศษของภูมิทัศน์เป็นผลจากทิวทัศน์งดงามโดยการแต่งแต้มของอาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่เหนือริมฝั่งตลิ่งสูงชัน ระยะทางตั้งต้นจากสำนักสงฆ์เมลค์ วังเชินบือเฮล ซากปราสาทอักชไตน์ดืนชไตน์ และฮินแทร์เฮาส์ จนถึงสำนักสงฆ์เกอทไวก์บนยอดเขาที่มองเห็นได้แต่ไกล
Château de Chenonceau 
ปราสาทเชอนองโซ เป็นปราสาทที่สง่างามที่สุดในเขตหุบเขาลุ่มแม่น้ำลัวร์ ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำแชร์ ที่สร้างสมัยศตวรรษที่ 16 เน้นในเรื่องสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มี ฐานโค้งที่สวยงามรองรับตัวปราสาท ตัวเสาฝังอยู่ที่ก้นแม่น้ำ ปราสาทจึงดูคล้ายลอยอยู่เหนือน้ำ ปราสาทมีสวนสวยและป่าละเมาะที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ ช่วยส่งให้ปราสาทแห่งนี้โดดเด่นยิ่งขึ้น ภายในมีเครื่องเรือนเก่าแก่และภาพวาดมากมาย
เมืองเก่าเวียนนา 
เมืองเก่าเวียนนา
ในปีหนึ่งจะมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมงแซง-มีแชลกว่า 3 ล้าน 2 แสนคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยงยอดนิยมอันดับที่ 3 ของประเทศออสเตรียรองลงมาจากหอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซาย


การเดินทางชมมรดกโลก ยูเนสโก 
การ ขับรถเที่ยวชมมรดกโลกทางวัฒนธรรมทั้ง 8 แห่ง ของยูเนสโกทำได้สะดวกสบายภายใน 1 สัปดาห์ ข้อเสนอพิเศษสุดนี้คือโอกาสอันดีที่จะได้ท่องเที่ยวไปในสถานที่วิเศษสุดของ ออสเตรีย พร้อมเพลิดเพลินไปกับศิลปะและวัฒนธรรมซึ่งผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความงดงาม ของภูมิทัศน์ทางธรรมชาติ
ลานกระโดดสกีแบร์กอีเซล 
โดวิลส์ เมืองตากอากาศริมทะเลอีกเมืองหนึ่ง ที่ดาราและนางแบบนิยมมาถ่ายรูปลงปกนิตยสารกันอยู่เป็นประจำ มีการสร้างสะพานไม้ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ สามารถเดินเที่ยวชมเมืองเล็กๆ ที่หรูหรา และแวดล้อมไปด้วยกลิ่นอายของเหล่าชนชั้นสูงในอดีต ตัวเมืองเรียงรายไปด้วยด้วยอาคารร้านค้าสวยงาม ขายสินค้ายี่ห้อดังๆ อาทิ กุชชี่, คาร์เทียร์, คริสเตียนดิออร์, หลุยส์ วิตตอง, ปราดาและห้างแพรงตองส์ ในบรรยากาศสบายๆ
ลานกระโดดสกีแบร์กอีเซล ถือเป็นสัญลักษณ์แนวอนาคตแห่งใหม่ของอินสบรุค คนทั่วไปรู้จักลานนี้ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสถานจัดการแข่งขันกระโดดสกี Vierschanzentournee นานาชาติ
ลานกระโดดสกีแบร์กอีเซลถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีการออกแบบโครงสร้างมาอย่าง ดีและยังดูมีสไตล์อีกด้วย สถานที่แห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง ซาฮา ฮาดิด ในปี 2001
อาคาร หลักที่มีรูปทรงคดเคี้ยวดูปราดเปรียวเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร ระเบียงสำหรับชมวิว และทางลาดจุดกระโดดสกี นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการออกกำลังกายสามารถเดินขึ้นไปยังอาคารนี้ได้โดย ใช้บันได 455 ขั้น แต่ความจริงแล้วยังมีทางเลือกที่สบายกว่านั้น และใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที โดยคุณสามารถใช้ฟิวนิคคูล่าและขึ้นลิฟท์โดยสาร ไปยังชั้นคาเฟ่ ร้านอาหาร และที่ชมวิวได้เลย ณ จุดชมวิวแห่งนี้เอง คุณสามารถสัมผัสกับความตระการตาของวิวพาโนราม่า 360
องศา ที่แลเห็นบรรดาเทือกเขาของทิโรลได้ สิ่งก่อสร้างนี้ถือเป็นหนึ่งในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของทิโรล เปิดทำการทุกวันตั้งแต่ 9.00 – 17.00 น.

แหล่งช้อปปิ้งในประเทศออสเตรีย 
นอกจากช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่อย่าง ‘ ช้อปปิ้ง ซิตี้ ซึด ‘ ชานกรุงเวียนนาแล้ว ยังมีร้านค้าเล็กๆมากมาย จำหน่ายสินค้าของนักออกแบบจากนานาชาติ
ถนนช้อปปิ้งสายสำคัญ
  • เวียนนา: คาร์นทเนร์ ซตราสเซ , มาเรียฮีลเฟร์ ซตราสเซ
  • กราซ: แฮร์เร่นกาสเซ , อันเนนซตราสเซ
  • ลินซ์: ลันด์ซตราสเซ และ ตรอกเล็กตรอกน้อย
  • ซาลสบูร์ก ซิตี้: เกอไทร์เดกาสเซ , ลินเซกาสเซ
  • อินสบรุค: มาเรีย – เทเรซีน – ซตราสเซ
  • คลาเก็นเฟิร์ท: อัลแทร์ พลัทซ์
  • เบรกเอนซ์ : ไคแซร์ ซตราสเซ , คอร์นมาร์คทพลัทซ์
  • ซังต์เพอเท็น: เครมแซร์ กาสเซ
ตลาด 
การเที่ยวชมตลาดคุ้มค่าเสมอ เพลิด เพลินกับภูมิปัญญาหลากหลายของชนจากนานาชาติ ที่ตลาดกลางแจ้งนัชมาร์คท์ในเวียนนาอาหารพื้นเมืองและอาหารเฉพาะถิ่นที่ตลาด ชาวนา สนุกสนานไปกับความพลุกพล่านของตลาดนัดและตลาดของเก่าที่กำลังเป็นที่นิยมกัน ในช่วงสองสามปีมานี้ และ ตลาดคริสต์มาสที่เน้นขายของประดับตกแต่งในเทศกาลคริสต์มาส , ขนมปังขิง และงานศิลปหัตถกรรม ให้บรรยากาศสวยงามเป็นพิเศษ
ของที่ระลึกที่มีชื่อเสียง 
ศิลป หัตถกรรมแบบออสเตรียนมีเสน่ห์เฉพาะตัว : เครื่องแต่งกายตามประเพณีและเครื่องประดับ , ผ้าขนสัตว์จากซาลสบูร์กและทิโรล , ผ้าปักจากฟอราลแบร์ก เซรามิกและพอร์ซเลน ( เอาการ์เท็นไชน่าจากเวียนนา , กมุนเดน เซรามิก , เครื่องเคลือบดินเผาจาก ชทูบ/บูร์เก็นลันด์ ) , เครื่องแก้วและคริสตัล ( เช่น สวารอฟสกี้/ทิโรล ) , ไม้แกะสลัก และอื่นๆที่ยังไม่ได้กล่าวอีกมาก แบร์นชไทน์ ( บูร์เก็นลันด์ ) เป็นแห่งเดียวที่มีเซอร์เพนไทน์ หินมีค่าสีเขียวชนิดหนึ่งใช้ทำเครื่องประดับและของตกแต่ง

ทัวร์ประเทศเดนมาร์ก

ถ้าจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวบนคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย โคโปเฮเกนเป็นชื่อต้นๆ ที่เรานึกถึงประเทศเดนมาร์ก และอยากจะไปเป็นที่สุด ปราสาทที่สำคัญมากมาย ถูกรังสรรค์ขึ้นบนดินแดนผืนนี้จนเกิดเป็นอาณาจักรที่ เรืองรองไปด้วยประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม




     กรุงโคเปนเฮเกน (Copenhagen) นครหลวงของประเทศเดนมาร์ก เจ้าของสมญานาม“ดินแดนแห่งเทพนิยาย”

 


     ซึ่งในปี 2005 มีการฉลองครบ 200 ปีของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอสัน นักแต่งนิทานชาวเดนมาร์กที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ 







      พระราชวังอามาเลียนบอร์ก (Amalienborg) อันเป็นที่ประทับของราชวงศ์เดนมาร์ก ชมอาคารบ้านเรือนสไตล์เดนมาร์ก







                 น้ำพุเกฟิออน 




      เงือกน้อย “Little Mermaid” อัน เป็นสัญลักษณ์ของกรุงโคเปนเฮเกน ตำนานความรักของเงือกน้อย (Little Mermaid) ที่ยอมเสียทุกสิ่งเพื่อเจ้าชายที่แสนรัก จากเรือเรา พบเงือกน้อยผิวบรอนซ์ยังคงนั่งรอเจ้าชายอยู่บนโขดหินริมฝั่งน้ำอย่างไม่เคยสิ้นหวัง 


       รูปปั้นชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของ Edv. Eiriksen ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงจินตนาการของแอนเดอร์สันกวีเอกผู้สร้างสรรค์นิทาน ที่ได้รับการกล่าวขานทั่วโลก เรื่อง ราวของเงือกน้อยยังคงก้องอยู่ในหัวจนเรือเทียบท่า















       โรเซนบอร์กการ์เด้น (Rosenborg Garden) สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่แน่นขนัดไปด้วยแมกไม้น้อยใหญ่และมวลดอกไม้นานาพันธุ์ที่แข่งกันผลิดอกจนบานสะพรั่งทั่วสวน คลอด้วยเสียงเพลงของนกน้อย ตามมุมต่างๆ









     สวนสนุกทิโวลี สวนสนุกที่เก่าแก่ตั้งแต่ปี 1843 ได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งบันเทิงที่เก่าแก่ ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพลิดเพลินกับเครื่องเล่นกว่า 26 ชนิด


     และแปลงดอกไม้ สีสันสวยงามที่ตกแต่งอาณาบริเวณรอบๆกว่า 400,000 ดอกการแสดงของศิลปินเร่, วงดนตรีที่สลับสับเปลี่ยนในแต่ละช่วงฤดูกาล จนได้

     ช้อปปิ้งสินค้าย่านวอล์คกิ้งสตรีท หรือถนนสตรอยก์ ถนนช้อปปิ้งที่ยาวที่สุดในโลกเริ่มจากศาลาว่าการเมืองไปสิ้นสุดที่ Kongens Nytorv ที่มีสินค้ายี่ห้อแบรนด์เนม อาทิ หลุยส์ วิตตอง ชาแนล และอีกมากมาย

การเดินทาง

      สถานฑูตเดนมาร์กของประเทศไทยค่ะ : http://www.ambbangkok.um.dk/en พอเข้าไปหน้านี้ ถ้าจะหาหัวข้อขอวีซ่าก็ไปหน้านี้นะคะhttp://www.ambbangkok.um.dk/en/menu/ConsularServices/Visa/VisaAppointment/ เบอร์โทรศัพท์ของสถานฑูต

     

ขั้นตอนการขอวีซ่าเดนมาร์ก
1. โทรนัดกับเจ้าหน้าที่สถานฑูตเรื่องวันและเวลาในการส่งเอกสารที่เบอร์โทรศัพท์02 343 1150 
      
 เจ้าหน้าที่จะให้ ID มาเพื่อแจ้งกับเจ้าหน้าที่ที่ประตูสถานฑูตในการเข้ามา ในสถานฑูตนะคะ
2. เตรียมเอกสารต่างๆ ในการยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยว
- รูปถ่ายสี (ใหม่ๆ) 1 รูป (ขนาด 3.5 x 4.5 cm, โดยหน้าจะต้องชัด มี 70 ถึง 80 % ของพื้นที่ในรูป ไม่รับฉากหลังสีมืด)
- พาสปอร์ต ที่มีอายุเหลือเกิน 3 เดือนนับถึงวันที่เจ้าของพาสปอร์ตกลับเข้ามายังเมืองไทย
- เอกสารรับรองเรื่องงานและการลางาน
- เอกสารรับรองการจองที่พักในเดนมาร์กและประเทศในกลุ่ม EU ทั้งหมดที่จะท่องเที่ยว
- เอกสารรับรองเรื่องฐานะทางการเงิน (ขอ Statement ย้อนหลัง 6 เดือนจากธนาคารค่ะ หรือถ่ายเอกสารสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารจนถึงวันก่อนที่จะส่งเอกสารในการวีซ่า นะคะ ขอข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุดในการยื่นเอกสารทั้งหมดค่ะ และอาจขอเอกสารรับรองเงินฝากในธนาคาร ธนาคารมีบริการออกเอกสารชิ้นนี้ค่ะ)
- เอกสารในการจองตั๋วเครื่องบิน (ไป-กลับ)
- เอกสารเรื่องประกันการเดินทางโดยบริษัทที่รับรองจากสถานฑูต
โดยบนเอกสารจะต้องมีชื่อผู้ประกันและระยะเวลาในการประกัน (ตลอดการเดินทางใน EU นับเวลาที่อยู่บนเครื่องด้วยนะคะ) เงินประกันสุขภาพเท่ากับหรือมากกว่า 1.5 ล้าน บาท
 - เอกสารของสถานฑูตในการกรอกขอวีซ่า (รับและกรอกที่สถานฑูตได้ค่ะ แต่จะเสียเวลามากๆ (เก๋ใช้เวลากรอกกับงมๆ งงๆ ประมาณ 1 ชั่วโมง) และถามใครไม่ค่อยได้นะ คะ อย่าลืมว่าสถานฑูตปิดรับเอกสารตอนเที่ยงค่ะ มีสองแบบฟอร์มนะคะ ต้องกรอกทั้งสองอัน (พิมพ์ออกมาแล้วกรอกเอง) คือ Visa application form และ Visa supplementary form - must be filled out
- เอกสารรายละเอียดการเที่ยว (อาจต้องใช้)
- เอกสารอื่นๆ
3. ยื่นเอกสารในวันและเวลาที่นัดไว้ แจ้งเบอร์ประจำตัวที่หน้าสถานฑูตเพื่อรับสติกเกอร์เข้ามาในสถานฑูตค่ะ
4. หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะรับเอกสารและนัดวันเวลาในการรับพาสปอร์ตคืน และอาจขอเอกสารเพิ่มเติม ในวันยื่นเอกสารหรือวันรับได้นะคะ เพราะฉะนั้นอาจต้องเผื่อเวลาใน การวิ่งถ่ายเอกสารเพิ่มเล็กน้อย

สหประชาชาติ เปิดเผยข้อมูล ประเทศ นอร์เวย์ น่าอยู่ที่สุดในโลก

สหประชาชาติ เปิดเผยข้อมูล ประเทศ นอร์เวย์ น่าอยู่ที่สุดในโลก
การจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวจัดทำโดย UNDP โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ได้รวบรวมข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)ต่อหัวประชากร การศึกษา และอายุคาดเฉลี่ยของประเทศต่าง ๆ ในปี 2550 ข้อมูลเหล่านี้ จะแสดงความแตกต่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา เปรียบเทียบระหว่างไนเจอร์ กับไนจีเรีย พบว่า อายุคาดเฉลี่ยของคนไนเจอร์ อยู่ที่ 50 ปี น้อยกว่าคนในนอร์เวย์ 30 ปี ขณะที่คนไนเจอร์ หาเงินได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่คนนอร์เวย์หาเงินได้ 85 ดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ยังพบว่าครึ่งหนึ่งของประชากรใน 24 ประเทศยากจนที่สุดในโลกไม่รู้หนังสือ เทียบกับประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ในระดับกลางที่มีอัตราผู้ไม่รู้หนังสือ ร้อยละ 20 ข้อมูลของยูเอ็นดีพี ยังระบุว่า คนญี่ปุ่นมีชีวิตยืนยาวที่สุด คือ มีอายุคาดเฉลี่ย 82.7 ปี มากกว่าคนอัฟกานิสถานที่มีอายุคาดเฉลี่ยเพียง 43.6 ปี

รูปภาพ ท่องเที่ยว นอร์เวย์ Norway ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน
    แท็ก : 

    ข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศโปรตุเกส

    ข้อมูลการท่องเที่ยวประเทศโปรตุเกสข้อมูลทั่วไป: โปรตุเกส หรือ สาธารณรัฐโปรตุเกส (Republic of Portugal) นครหลวงคือ กรุงลิสบอน (Lisbon) ที่ตั้ง: ตั้งอยู่บนคาบสมุทรไอบีเรียทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป มีพรมแดนทางทิศเหนือ และทิศตะวันออกจรดประเทศสเปน ส่วนทิศตะวันตก และทิศใต้ติดมหาสมุทรแอตแลนติก 

    การขอวีซ่า และสถานทูตไทยในโปรตุเกส
    เอกสารที่จะต้องเตรียมนะคะ 
    1. รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ 
    2. หนังสือเดินทางของท่านที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน หลังวีซ่าหมดอายุ
    3. หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท หรือนายจ้าง ที่มีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ทำ และมีการอนุมัติการลาพักร้อนมาด้วยค่ะ แต่ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทเอง จะต้องแสดงหนังสือจดทะเบียนบริษัทมาด้วยนะคะ
    4. เอกสารรับรองห้องพักจากทางโรงแรมในโปรตุเกส 

    สถานทูตไทยในโปรตุเกส: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิสบอน
    Rua de Alcolena, 12 Restelo 1400 Lisbon 
    โทร: (351) 2130-14848, 2130-15051
    แฟกซ์: (351) 2130-18181 

    ข้อแนะนำ:นักท่องเที่ยวที่ต้องการอยู่ในประเทศโปรตุเกสเกินกว่า 3 วัน ต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด้วยนะคะ ซึ่งท่านสามารถรายงานตัวได้ที่สนามบิน หรือสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ที่พักในโปรตุเกสของท่านที่สุด ภาษาที่ใช้: ภาษาประจำชาติของโปรตุเกสคือ ภาษาโปรตุเกส แต่ตามสถานที่ท่องเที่ยว และเมืองที่สำคัญต่างๆ ท่านจะสามารถพบเห็นผู้ที่พูดภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษได้บ้างค่ะ 

    ความแตกต่างเรื่องเวลา: เวลาของโปรตุเกสจะช้ากว่าของประเทศไทยประมาณ 7 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น เมื่อไปถึงที่นั่น ท่านจะต้องปรับนาฬิกาให้ตรงกับที่ประเทศโปรตุเกสด้วยนะคะ 

    สภาพอากาศ: โปรตุเกสมีลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบยุโรปใต้ค่ะ อากาศจะร้อนจัดในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 28-36 องศาเซลเซียส ถ้าเป็นฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม อุณหภูมิเฉลี่ย 0-12 องศาเซลเซียส สำหรับฤดูใบไม้ผลิ คือช่วงเวลาระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 10-18 องศาเซลเซียส 

    ธงประจำชาติ ประเทศโปรตุเกสค่าเงิน และการธนาคาร: โปรตุเกสใช้เงินสกุลยูโร (EURO) ซึ่งเท่ากับประมาณ 50 บาทไทย ชนิดของธนบัตรมีตั้งแต่ 5, 10, 20, 50, 100, 200 และ 500 ยูโร และ ชนิดของเหรียญประกอบด้วย 1, 2, 5, 10, 20, 50 เซนต์ 1 ยูโร และ 2 ยูโร 

    ระบบโทรศัพท์: การโทรกลับมาเมืองไทยจะต้องกด: รหัสประเทศไทย (0066) + รหัสจังหวัด + หมายเลขโทรศัพท์ นอกเหนือจากการใช้เครื่องของโรงแรมในโปรตุเกสที่ท่านเข้าพัก ในการติดต่อโดยตรงหรือผ่านโอเปอเรเตอร์แล้ว ท่านยังสามารถใช้เครื่องสาธารณะในการโทรออก ซึ่งมีทั้งประเภทหยอดเหรียญ, Phone card หรือ บัตร Pre-paid card ของบริษัทเครือข่ายต่างๆ อีกด้วยค่ะ 

    ข้อแนะนำพิเศษ: การท่องเที่ยวในโปรตุเกสค่อนข้างมีความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ท่านควรระมัดระวังพวกกระเป๋าสตางค์ และหนังสือเดินทางให้ดีด้วย เพราะเคยมีกรณีที่กระเป๋าสตางค์และหนังสือเดินทางหายบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนักค่ะ 

    บาคัลเยา (Bacalhau) หรือ ปลาคอดดองเกลืออาหารท้องถิ่น: อาหารโปรตุเกส ได้ชื่อว่ามีรสชาติอร่อยถูกปาก ที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป ชาวโปรตุเกสนิยมบริโภคปลาเป็นอาหารหลัก อาหารขึ้นชื่อของประเทศนี้คือ บาคัลเยา (Bacalhau) หรือ ปลาคอดดองเกลือ ค่ะ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสไปเยือนถึงถิ่น โปรตุเกสกันแล้ว หากไม่ไปแวะชิมขนมหวานของเขา ก็ดูจะเสียเที่ยวแย่เลยนะคะ หลายคนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่า ประเทศโปรตุเกสนี่แหละค่ะ ที่เป็นผู้เข้ามาถ่ายทอดวิธีทำขนมหวาน ให้กับบรรพบุรุษของเรา จนได้นำมาประยุกต์เป็นขนมหวานแบบไทยๆ มาถึงทุกวันนี้ เช่นพวก ลูกชุบ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง นั่นเอง ของหวานของชาวโปรตุเกสที่เด่นๆ ยกตัวอย่างเช่น Pastel de Mata, Ovos Moles อันนี้ทั้งอร่อยและแพงที่สุดอีกด้วยนะคะ ขนมหวานเหล่านี้ สามารถหาทานได้ง่ายๆเลย เพราะมีขายอยู่ทั่วไปตามภัตตาคาร ร้านอาหารในโปรตุเกส โดยเฉพาะในเมืองลิสบอนค่ะ


    ที่มา : http://thai.monoplanet.com/guide-book/portugal.html

    ข้อมูลการท่องเที่ยวในอิยิปต์

    ทำความรู้จักกับอิยิปต์


    อียิปต์เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นอกจากจะชมโบราณสถานตามริมแม่น้ำไนล์ ตลาดเก่าในกรุงไคโรแล้ว ยังเดินทางไปเที่ยวชมภูเขาในคาบสมุทรซีไนและชายหาดริมทะเลแดงด้วย สำหรับไคโรก็เยี่ยมชมปิรามิดและสฟิงคส์ที่กีซา (Giza) และปิรามิดขั้นบันไดที่ ซักการา (Saqqara) และยังชมพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อศึกษาอิยิปต์โบราณ
                 การล่องเรือชมโบราณสถานริมฝั่งแม่น้ำไนล์จำนวนมากที่เก่าแก่ 2,000-4,000 ปี ย่อมเป็นสถานที่ที่ผู้คนชอบมากที่สุด เมืองลุกซอร์ (Luxor) ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศห่างจากกรุงไคโร 1 ชั่วโมง ด้วยเครื่องบิน เป็นเมืองที่มีวิหารและหุบผากษัตริย์ที่จารึกประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ เมืองอัสวาน (Aswan) เป็นเมืองที่แม่น้ำไนล์สวยงามที่สุด จากนั้นนักท่องเที่ยวสามารถบินต่อไปยังอาบูซิมเบล (Abu Simbel) ที่อยู่ทางใต้สุดของอียิปต์เพื่อชมวิหารที่มีรูปปั้นขนาดมหึมาที่สง่าและอร่ามตาปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถไปชมแหล่งน้ำ (Oasis) ที่อยู่กระจัดกระจายในทะเลทรายหลายแห่งด้วย
                 จากไคโรยังสามารถนั่งรถไปเมืองท่าอเล็กซานเดรีย (Alexandria) ราว 2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอียิปต์ ที่ชาวไคโรพื้นเมืองนิยมใช้เป็นสถานที่ตากอากาศในช่วงหน้าร้อน ความงดงามของเมืองนี้ยังมีซากที่เหลืออยู่ให้ชม ทั้งสมัยฟาโรห์ รวมถึงคลีโอพัตรา สมัยกรีก โรมัน และอิสลาม นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดที่สวยงามมาก นอกจากนั้นก็มีเมืองปอร์ตซาอิด (Port Said) และเมืองอิสมาเลีย (Ismalia) ทั้งสองเมืองดังกล่าวติดอยู่กับคลองสุเอช (Suez) ซึ่งเป็นสายน้ำที่เชื่อมระหว่างทวีปเอเชีย แอฟริกาและยุโรป
    ฝั่งทะเลแดงของอียิปต์ มีเมืองตากอากาศริมชายหาดที่มีชื่อเสียงมากสองแห่งคือ เฮอร์กาดา (Hurghada) และชาร์มเอลเชค (Sharm el-Sheikh) ซึ่งสามารถเดินทางโดยเครื่องบิน และรถยนต์ได้อย่างสะดวกสบาย
                ใช่แต่อียิปต์จะเป็นเมืองสำคัญทางด้านการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเป็นสถานศึกษาและศูนย์กลางสำหรับมุสลิมทั่วโลก ดังเช่นมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร (Al Azhar University) แต่กระนั้น มหาวิทยาลัยอเมริกัน (The American University in Cairo) และมหาวิทยาลัยไคโรก็ยังเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงในการศึกษาด้านตะวันออกกลางและอาหรับศึกษา ทั้งนี้ มีนักเรียนไทยในอียิปต์ประมาณ 1,700 คนเป็นมุสลิมเกือบทั้งหมด
                 การตัดสินใจว่า ควรเดินทางไปอียิปต์ในช่วงเวลาไหนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะอากาศแตกต่างกันมาก เดือนพฤศจิกายนถึงปลายกุมภาพันธ์อาจจะสบายที่สุดเพราะไม่ร้อน ต้องใส่เสื้อกันหนาวแม้จะมีแดดเปรี้ยง โดยเฉพาะตอนค่ำ เมื่อไปชมรายการแสงและเสียง (Light and Sound) กลางทะเลทรายแถบปิรามิด ในช่วงนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาก หากไปอียิปต์หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคมก็จะดี เพราะถึงแม้อากาศจะเริ่มร้อนแล้ว แต่ก็พอทนได้ ส่วนช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน จะมีบางวันที่จะออกข้างนอกได้เฉพาะช่วงเช้าหรือค่ำ เพราะในตอนกลางวันอากาศจะร้อนมากกว่า 40 องศาเซลเซีย  แต่โดยทั่วไปอียิปต์เป็นประเทศที่ดินฟ้าอากาศกำลังสบาย อาจจะแห้งไปนิดหนึ่งสำหรับบางคน และฝุ่นจะมากไปหน่อย แต่เมื่อชินแล้วจะรู้สึกเป็นสิ่งธรรมดา

    ข้อแนะนำและพึงระวัง
    การเดินทางจากประเทศไทยโดยตรงถึงอียิปต์ มีสายการบินอียิปต์แอร์ซึ่งมีเที่ยวบินไคโร-กรุงเทพฯ สัปดาห์ละ 4 เที่ยว หรืออาจบินโดยสายการบินไทย เอมิเรตส์ หรือการ์ตาร์ โดยต้องแวะที่ดูไบหรือเอเธนส์เสียก่อนแล้วถึงจะต่อไปอียิปต์ ชาวมุสลิมจำนวนมากจะแวะอียิปต์เป็นเวลา 2-3 วันก่อนที่จะต่อไปซาอุดิอาระเบียเพื่อไปประกอบพิธีฮัจญ์หรือขากลับอย่าลืมว่าก่อนเดินทางไปอียิปต์ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะไปท่องเที่ยวหรือทำธุระจะต้องมีวีซ่าเข้าประเทศเสียก่อน โดยขอได้จากสถานทูตอียิปต์ประจำประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ที่
    6 Las Colinas Building, ชั้น 42 ถนนสุขุมวิท ซอย 21,
    กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์             (02) 661-7184       และ             (02) 262-0236      
    โทรสาร 262-0235

    ส่วนผู้ที่ทำการค้า หากประสงค์จะได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้นำเข้าอียิปต์ก็สามารถติดต่อได้ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงไคโร หรืออาจขอเพิ่มเติมได้จาก EBA (Egyptian Business Association) ตั้งอยู่ที่
    Nile Tower Building, 21 Giza Street, Giza
    โทรศัพท์             (02)573-6030                  (02)573-3020      
    โทรสาร             (02)573-7258      , 568-1014 หรือติดต่อทาง E-mail : eba@eba.or.eg
                    เมื่อถึงอียิปต์แล้ว ขอให้ถือหนังสือเดินทางติดตัวเสมอ เพราะจะต้องใช้ในกรณีไปลงทะเบียนที่โรงแรม แลกเงิน รับจดหมาย หรือถูกตำรวจสอบถาม เอกสารสำคัญ ๆ ขอให้ถ่ายสำเนาและแยกเก็บจากต้นฉบับ
                     อียิปต์มี Internet cafe อยู่ทั่วไปจึงสะดวกในการติดต่อทางอีเมล์
    Code โทรศัพท์ของอียิปต์ คือ "20"
    สกุลเงินอียิปต์เรียกว่าปอนด์อียิปต์ หรือ Egyptian Pound ในปัจจุบัน(เดือนพฤศจิกายน 2548) 1 ดอลล่าร์สหรัฐ แลกได้ 5.75 ปอนด์อียิปต์ ซึ่งสามารถแลกได้ที่ธนาคารและแหล่งการเงินทางการทั่วทุกแห่ง เพื่อความปลอดภัยของนักทัศนาจร ควรพกส่วนหนึ่งของเงินในรูปเช็ค เพื่อขึ้นเช็คตามธนาคารต่าง ๆ เมื่อมีความจำเป็น ส่วนบัตรเครดิตก็เป็นที่ยอมรับในโรงแรมใหญ่ ๆ ทุกแห่ง หรือร้านอาหารที่มีชื่อเสียง นอกจากนั้นขอให้พกเป็นเงินสด และขอให้ใช้ธนบัตรย่อยมากที่สุดเวลาขึ้นรถแท็กซี่ และเมื่อมีความจำเป็นที่ต้องทิปบริกรในภัตตาคารหรือในสถานที่ต่างๆ
                 สิ่งควรระวังในแง่ของสุขภาพคือ การรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดทำให้ท้องเสีย หากเป็นโรคท้องเสียที่ไม่รุนแรงก็สามารถหาซื้อยาตามร้านขายยาทั่วไปได้ โดยร้านขายยาแต่และแห่งจะมีคนขายที่เป็นเภสัชกรที่มีการศึกษาดี แต่เดิมผู้เดินทางจำเป็นต้องฉีดยาป้องกันโรคก่อนออกเดินทาง เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นแล้ว แต่ก็ควรระวังโรคทางเดินในอาหารมากที่สุด โดยควรดื่มน้ำเฉพาะจากขวด และรับประทานอาหารที่มีการทอดหรือต้มมาก่อนแล้วผู้ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมาก อาจทำสัญญาประกันสุขภาพกับบริษัทประกันภัยหรือประกันสุขภาพก่อนเดินทาง เพื่อจะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ในกรณีที่เกิดการเจ็บป่วย
                หากยังไม่ได้ติดต่อกับบริษัทท่องเที่ยวก่อนเดินทางจากประเทศไทย ผู้เดินทางยังสามารถติดต่อกับบริษัททัวร์ในอียิปต์เองซึ่งมีหลายแห่ง ขอให้ระมัดระวังไม่ให้บริษัททัวร์คิดเงินมากกว่าที่ควร โดยอาจเปรียบเทียบราคาจากหลายแห่ง
                 ปัจจุบันอียิปต์นับว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สิ่งที่พึงต้องระวังในอียิปต์ตลอดเวลาคือ การถูกหลอกเวลาซื้อของและจ่ายค่าบริการ
                 ทางเข้าสถานที่สำคัญ ๆ จะมีเครื่องตรวจอาวุธทั่วทุกแห่งและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรวมทั้งตำรวจนอกเครื่องแบบจะมีทั่วไปหมด ในขณะนี้ อียิปต์ให้ความสำคัญแก่การป้องกันการก่อการร้ายอย่างมาก โดยทั่วไป คนอียิปต์ที่มีการศึกษาดีสามารถพูดภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ได้ และผู้เดินทางผู้ใดพูดภาษาอาหรับแม้เพียงไม่กี่คำก็เอาตัวรอดได้ เนื่องจากว่าคนพื้นเมืองโดยทั่วไปมีประเพณีการต้อนรับแขกแต่โบราณกาลมาแล้ว

    ที่มา : http://choktaweetour.com/index_info.php?ID=5