High School

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เนเธอร์แลนด์ แดนทิวลิป


ทิวลิปดอกไม้งาม 1 ใน สัญลักษณ์แห่งเนเธอร์แลนด์
       เมื่อพูดถึง"เนเธอร์แลนด์"หรือที่มักเรียกกันว่า"ฮอลแลนด์" หลายคนคงรู้จักประเทศนี้ในนามดินแดนแห่ง "กังหันลม รองเท้าไม้ และดอกทิวลิป” ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ เป็นเสมือนดังสัญลักษณ์ประจำชาติที่ดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางไปท่องเที่ยวในเนเธอร์แลนด์
      
       โดยเฉพาะเจ้าดอกทิวลิปนี่ สำหรับคนไทยแล้ว ถือเป็นดอกไม้ที่มีคนชื่นชอบกันไม่น้อยเลย เรื่องนี้ดูได้จากงานมหกรรมพืชสวนโลกที่ผ่านมาเมื่อปลายปี 49 ต่อต้นปี 50 ซึ่งแปลงทิวลิปจากแดนกังหันลมนั้นมีคนไปยืนรอต่อคิวถ่ายรูปคู่กันเป็นจำนวน มาก เกือบแทบทุกวัน
      
       แต่การได้ชมทิวลิปในงานพืชสวนโลกยังไงมันก็ไม่สะใจ สมใจ เท่ากับการได้ไปชมดอกทิวลิตัวจริงเสียงจริง จากดินแดนแห่งดอกทิวลิปอย่างเนเธอร์แลนด์ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ฉันกำลังพูดถึงนี้ เป็นหนึ่งในจุดชมดอกทิวลิปอันสวยงามและขึ้นชื่อแห่งดินแดนกังหัน นั่นก็คือ สวน "Keukenhof" (เคอเคนฮอฟ) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ ชื่อลิซเซ่ (Lisse) ที่อยู่ห่างจากอัมสเตอร์ดัมไปไม่ไกล
กังหันลมที่จัดแสดงไว้ภายในสวน
       สวนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสวนดอกไม้ที่มีความสวยงามที่สุดในเน เธอร์แลนด์ หรือถ้าจะพูดตามความคิดของฉันที่นิยมชมชอบในดอกทิวลิปเป็นอย่างมาก ก็อาจจะกล่าวได้ว่า Keukenhof เป็นสวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในโลกก็ว่าได้
      
       แต่ก่อนที่จะไปรู้จักกับสวนแห่งนี้ เรามาทำความรู้จักกับดอกทิวลิปให้มากกว่านี้กันสักหน่อยดีไหม
      
       หลายคนอาจจะคิดว่าดอกลิวทิปนี้คงจะมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเนเธอร์ แลนด์นี้เป็นแน่ แต่อันที่จริงแล้วทิวลิปนี้ มีต้นกำเนิดมาจากแถบอาร์มาเนีย เปอร์เชีย และคอเคซัส(Armania, Persia, Caucasus) แล้วก็ได้แพร่ไปสู่ชายฝั่งทะเลดำและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และชาวตุรกีก็เป็นชาติแรกที่เห็นคุณค่าของดอกทิวลิปและนำมาปลูกกันอย่างแพร่ หลาย
      
       คำว่า "ทิวลิป" หรือ Tulip นี้มีที่มาจากชื่อที่เรียกผ้าโพกศีรษะของชาวสลาฟ (คือชนชาวรัสเซียน,บัลกาเรียน, โบฮีเมียน และชาวโพล) เพราะด้วยรูปร่างของดอกทิวลิป มีความละม้ายคล้ายกับรูปทรงผ้าโพกศีรษะของชาวตุรกี ซึ่งชาวตุรกีเรียกผ้าโพกศีรษะนี้ว่า turban
อาคารจัดแสดงดอกทิวลิปหลากหลายสายพันธุ์
       แล้วไฉน??? ดอกทิวลิปจากตุรกีจึงเดินทางไปแพร่หลายจนกลายเป็นดอกไม้สัญลักษณ์แห่งเนเธอร์แลนด์ได้
      
       เรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปประมาณปี ค.ศ. 1600 ดอกทิวลิปถูกนำมาปลูกในแปลงส่วนตัวเล็กๆบริเวณทะเลเหนือ และอัมสเตอร์ดัม ที่เมืองไลเดน (LEIDEN) และฮาร์เลม (HARRLEM) ซึ่งบริเวณนี้ยังคงเรียกว่า "Bollenstreek" หรือบริเวณปลูกดอกทิวลิป
      
       สำหรับการปลูกดอกทิวลิปที่เนเธอร์แลนด์ในตอนแรก ต้องบอกว่าเป็นดอกไม้สำหรับคนรวยเท่านั้น พวกคนรวยชาวดัชท์และพวกผู้ดีชาวยุโรป หรือพวกเศรษฐีใหม่ที่ทำการค้าขายเท่านั้นที่จะมีดอกทิวลิปไว้ปลูกประดับบ้าน การปลูกทิวลิปเป็นที่นิยมในเนเธอร์แลนด์มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ว่าในปี ค.ศ. 1624 เกิดวิกฤติการณ์ที่เรียกว่า“คลั่งทิวลิป” หรือ Tulipomania กันเลยทีเดียว ทำให้ราคาซื้อขายหน่อทิวลิปหน่อหนึ่งมีราคามหาศาล ว่ากันว่ามีราคาแพงกว่าทองคำเสียอีก
บรรยากาศร่มรื่นในสวน Keukenhof
       มาถึงวันนี้ แม้ว่าราคาของดอกทิวลิปที่เนเธอร์แลนด์ จะไม่ได้แพงมากมายเหมือนเมื่ออดีต แต่ดอกทิวลิปก็ถือว่าเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญและสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เนเธอร์แลนด์ไม่น้อย นอกจากนี้แหล่งปลูกดอกทิวลิปยังกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คน จากทั่วโลกจำนวนมากให้เดินทางไปชื่นชมและสัมผัสในความงามของดอกไม้อันขึ้น ชื่อชนิดนี้ โดยเฉพาะที่ สวน"Keukenhof" ที่ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งจุดชมดอกทิวลิปดังที่กล่าวมาในข้างต้น
      
       อนึ่งสวน Keukenhof จะเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเที่ยวชมภายในสวนได้แค่ปีละครั้งเท่า นั้น โดยจะเปิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิเพียงแค่ 2 เดือน (ประมาณเดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม) ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้ตื่นตาตื่นใจ กับดอกทิวลิปนับล้านๆ ดอกหลากหลายพันธุ์ และหลากหลายสีสัน รวมไปถึงยังมีไม้หัวอื่นๆ อย่าง ลิลลี่ แดฟโฟดิล หรือนาซิสซัส ไฮยาซินธ์ จัดแสดงให้ชมอยู่ภายในสวนด้วย
ดอกทิวลิปชูช่อสวยงามพบได้ทั่วไปในสวน Keukenhof
       เมื่ออดีตสวน Keukenhof แห่งนี้เป็นเพียงสวนครัวของปราสาท Slot Teylingen ของ Jacoba van Beieren ภรรยาของท่านเคานท์ (Keukenhof แปลว่า สวนครัว) แต่ต่อมาในปี 1949 นายกเทศมนตรีของเมืองลิซเซ่ ได้ร่วมกับสมาคมผู้ส่งเสริมการปลูกดอกไม้ประเภทไม้หัว ได้เกิดแนวคิดที่จะมีงานแสดงไม้ดอกประจำปีแบบกลางแจ้ง โดยทำการจัดให้เหมือนกับการได้ชมสวนจริงๆ และก็ได้เลือกเคอเคนฮอฟแห่งนี้เป็นที่จัดแสดง โดยมีการส่งเสริมการปลูกไม้หัวพันธุ์ใหม่ๆ ทำการแบ่งพื้นที่ภายในสวนที่ให้กับบริษัทผู้ผลิตไม้หัวเป็นผู้ปลูกและเข้า บำรุงรักษา จนทำให้เกิดทิวลิปพันธุ์ใหม่ๆขึ้นทุกปี นอกจากนี้ยังทำการจัดแสดงไว้เป็นสวนสวยๆ ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ท่านๆ ต้องข้ามน้ำ ข้ามฟ้าเดินทางไกล เพื่อมาชมทิวลิปสวยๆ กันถึงที่เนเธอร์แลนด์
      
       เมื่อเดินทางมาถึงสวนKeukenhof ฉันขอบอกก่อนเลยว่า สวนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 200 ไร่ ฉะนั้นการมาเดินเที่ยวชมสวนให้สนุก และไม่เหนื่อยมากนัก แนะนำว่าเราควรเปิดแผนที่กางเดินเที่ยวสวนจะดีกว่า และหากอยากจะเที่ยวให้ทั่วทั้งสวน ก็คงจะต้องมากันตั้งแต่สวนเปิดตอนเช้าๆ เพราะจะได้เดินเที่ยวได้อย่างจุใจ
อีกหนึ่งมุมในสวนสวย Keukenhof
       ภายในสวนKeukenhof ถูกออกแบบไว้อย่างสวยงาม มีการแบ่งสรรจัดโซนสวนไว้ได้อย่างลงตัว มีต้นไม้น้อยใหญ่ มีลำธาร น้ำพุ สระน้ำ มีงานปะติมากรรมเก๋ๆ ที่จัดแสดงเข้าไว้ภายในสวน และมีทางเดินที่ร่มครึ้มสร้างความรื่นรมย์เป็นอย่างมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เดินชมสวนกันแบบอิ่มตา และอิ่มใจ เพราะภายในสวนไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่แปลงปลูกดอกทิวลิปที่ออกดอกบาน ชูช่ออวดความสวย ล่อตาล่อใจให้เข้าไปถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลินยิ่งนัก
      
       ฉันว่าภายในสวนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเดินไปโซนไหนของสวน ก็จะได้แต่เห็นดอกทิวลิปสีสันสวยสดใส ไม่ว่าจะเป็น สีแดง สีส้ม สีชมพู สีขาว รวมไปถึงดอกทิวลิปสองสีผสมกัน ที่ดูแล้วหมือนใครเอาพู่กันไปวาดสีไว้ และใช่ว่าจะมีแต่ดอกทิวลิปให้ได้ดู เพราะว่ายังมีดอกไม้สวยๆ อย่างไม้หัวอื่นๆ อย่างแดฟโฟดิล หรือนาซิสซัส ไฮยาซินธ์ ลิลลี่ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ปลูกอยู่ร่วมกันกับดอกทิวลิป เรียกว่าพวกชอบถ่ายรูปดอกไม้สวยๆ จะต้องยกกล้องถ่ายรูปมากดชัตเตอร์กันแบบมันมือไปเลย เพราะดอกทิวลิปสวยๆ พวกนี้ ไม่ว่าจะดอกไหน สีอะไร ล้วนแล้วแต่สวยงามจับใจจริงๆ ยามที่ได้ยลดอกจริงๆ ชูช่อบานไสวยิ้มทักทายอยู่
ทิวลิปออกดอกเรียงรายในสวน Keukenhof
       และนอกจากจะมีแปลงปลูกดอกทิวลิปและดอกไม้อื่นๆ ที่จัดแสดงไว้อย่างสวยงามให้ได้เดินชมกันแล้ว ที่นี่ยังมีอาคารที่จัดแสดงกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับดอกทิวลิป และดอกไม้ชนิดอื่นไว้ให้ได้ศึกษากันด้วย และหากใครกลัวว่าเดินเที่ยวสวนใหญ่ๆ แล้วจะรู้สึกเหนื่อยหรือว่าเมื่อย ไม่ต้องกลัวเลยเพราะภายในสวนจะมีศาลา และเก้าอี้ ให้นั่งพักเหนื่อยเป็นระยะๆ และหากหิวขึ้นมาก็มีร้านอาหาร รวมทั้งคอฟฟี่ช็อป ให้ได้เข้าไปนั่งทานอาหารและนั่งพักให้หายเหนื่อยกัน
      
       ส่วนถ้าใครอยากเห็นการแกะสลักรองเท้าไม้ของจริง ภายในสวนก็มีการสาธิตการแกะสลักรองเท้าไม้ให้ได้ชมด้วย และมีซุ้มขายรองเท้าไม้ให้ได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับไป และภายในสวนยังมีอาคารที่จัดแสดงขายดอกทิวลิป และไม้หัวให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อกลับไปปลูกเองที่บ้านด้วย
ทิวลิปสองสี
       อ้อ!! เกือบลืมไป อีกสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนสวนแห่งนี้ก็คือ ต้องไปที่ Keukenhofmolen เป็นกังหันลมขนาดใหญ่ อีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจะตั้งอยู่ภายในสวนเพียงตัวเดียว จะเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนได้ ซึ่งเมื่ออยู่บนกังหันลมนั้นจะได้เห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบจากมุมสูง เป็นภาพที่สวยงาม ยามเมื่อได้เห็นดอกทิวลิปและดอกไม้อื่นๆ อีกนานาพันธุ์เบ่งบานแย่งกันอวดความงามในสวนสวยๆ
      
       ฉันว่าถ้าใครเป็นคนรักดอกไม้ และชื่นชอบดอกไม้สวยๆ โดยเฉพาะดอกทิวลิปแล้วล่ะก็ การได้มีโอกาสเดินทางมาเที่ยวที่สวน "Keukenhof" แห่งสักครั้ง รับรองว่าความรู้สึกอิ่มเอมใจ และมวลหมู่ดอกไม้สวยๆจะผลิบานอยู่เต็มหัวใจของทุกคน
      
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
      
       สวน"Keukenhof" (เคอเคนฮอฟ) ตั้งอยู่ที่เมืองลิซเซ่(Lisse) ประเทศเนเอร์แลนด์ อยู่ห่างจากอัมสเตอร์ดัมประมาณ 29 กม. สามารถเดินทางไปได้ทั้งทางรถไฟและรถเช่า ถ้ามาทางรถไฟ ให้ลงที่สถานีไลเดน (Leiden) แล้วต่อรถบัสเข้าไปที่สวน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็จะถึงสวน

สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศฝรั่งเศส

หอไอเฟล (Eiffel Tower)



หอคอย เหมือนเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดทางเทคโนโลยี ในอดีตไม่เคยมีใครสร้างหอคอยที่สูงกว่า 1,000 ฟุต หลายคนพยายามลอง แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาก็มีการออกแบบไว้อยู่หลายแบบ แต่ก็ไม่เคยสร้างจริงขึ้นมา ฝรั่งเศสได้จัดการประกวดเพื่อออกแบบหอคอย แบบแรกถูกเสนอโดย เวอร์ริส คล็อกลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวิศวกรของ กุสตาฟ ไอ-เฟล (Gustave Eiffel)
กุสตาฟ ไอเฟล เป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ชื่อเสียงของเขาเกิดจาก การออกแบบสะพานที่เต็มไปด้วยจินตนาการ เขาค้นคว้าเกี่ยวกับแนวคิดในการออกแบบด้วยโครงสร้างโลหะ การที่มี กุสตาฟ ไอเฟล เข้ามาร่วมงาน จึงเป็นเครื่องรับประกันในเรื่องเงินทุนสนับสนุน และความสำเร็จของงาน วิศวกรหนุ่มของ กุสตาฟ ไอเฟล 2 คน คือ เวอร์ริส คล็อกลิน และ เอมิล นูลจิเย เริ่มแนวคิดในการสร้างหอคอยสูง 300 เมตร สำหรับงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1890 ในปารีสเขาเริ่มร่างแบบโครงสร้างของหอ-คอยอย่างคร่าวๆ และขอให้สถาปนิกชื่อ สตีเฟน สเตาว์เธอร์ ออกแบบส่วนตกแต่งเพื่อเติม ซึ่งมีลักษณะเป็นช่อดอกไม้ โค้ง และมีปติมากรรมเล็กๆ น้อยๆ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดทางสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1887 ว่า สามารถสัมผัสกับท้องฟ้าในระดับที่เป็นไปไม่ได้ คือ 1,000 ฟุต
กุสตาฟ ไอเฟล ได้เห็นแบบแปลนและอนุมัติ เขาได้สนใจแนวคิดเกี่ยวกับหอคอยนี้ และได้ออกแบบส่วนตกแต่งเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเข้าไปด้วย การมีชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล อยู่ในโครงการ ทุกคนรู้ผลลัพธ์ของการแข่งขันนี้ การมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและสังคมของกุสตาฟ ไอเฟล ทำให้มีความพร้อมที่จะผลักดันให้โครงการผ่านหน่วยงานปกครองของปารีสได้อย่าง รวดเร็ว และทำให้โครงการจากแบบแปลนสำเร็จเป็นจริงได้ หอคอยซึ่งออกแบบจากความก้าวหน้าในยุคอุตสาหกรรม เป็น งานที่มีความท้าทายทางวิศวกรรม และ กุสตาฟ ไอเฟล จะได้แสดงให้เห็นถึงความความคิดสร้างสรรค์ของเขาที่เคยใช้ในการออกแบบมาแล้ว
28 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1887 กุสตาฟ ไอเฟล ได้เชิญแขกมากมายมาเป็นพยานในการก่อสร้าง เขาอายุ 53 ปี และหอคอยจะเป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบของเขา ในขณะที่พิธีการเริ่มขึ้น วิศวกร 50 คนต้องช่วยกันร่างแบบ จำนวน 5,300 แผ่นสำหรับคนงาน 132 คน ใช้ในพื้นที่ก่อสร้าง ต้องใช้เวลา 4 เดือน ในการทำฐานรากสำหรับขาของหอ-คอย เสา 2 ต้น ถูกติดตั้งบนฐานคอนกรีตหนา 6 ฟุตครึ่ง ที่ความลึก 23 ฟุตจากระดับดิน และมีขา 2 ข้างที่ใกล้กับแม่น้ำแซนมาก จึงต้องใช้เขื่อนโลหะกันน้ำ ป้องกันในขณะที่ทำการเทคอนกรีตบนพื้นที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ
หมุด 2 ล้าน 5 แสนตัว ที่ใช้ยึดโครงเหล็กของหอไอเฟล
บน พื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสของฐานหอคอยมีความกว้างด้านละ 426 ฟุต จะมีขาของหอคอยทั้ง 4 ในแต่ละด้าน รองรับน้ำหนักของโครงสร้างโลหะกว่า 7,000 ตัน บนฐานจะเป็นฐานก่ออิฐซึ่งจะฝังสมอยึด 2 ตัวสำหรับขาแต่ละข้าง จากฐานนี้ ขาจะถูกขึ้นเป็นมุม 60 องศาในลักษณะคานโครงเหล็ก คานนี้ประกอบไปด้วยท่อนเหล็กและเหล็กแผ่นที่ถูกยึดติดกันที่ด้านข้าง โครงสร้างที่ได้จะมีความเข็งแรงมาก แต่มีนำหนักเบา ประกอบง่าย ใช้มาตรฐานเดียวกัน และ มีราคาไม่แพง เมื่อประกอบเสร็จจะใช้ชิ้นส่วนโลหะทั้งหมด 18,000 ชิ้น และหมุดยึดอีก 2 ล้าน 5 แสน ตัว เพื่อประกอบเป็นหอคอย ทั้งหมดใช้เพียงเหล็กท่อนแบนและแผ่นเหล็กในการประกอบ
กุสตาฟ ไอเฟล เป็นคนแรกที่เดินขึ้นบันได 1,710 ขั้น เพื่อขึ้นไปที่จุดสูงสุดของหอคอย แล้วแขวนธงชาติ 3 สีของฝรั่งเศส มีการเปิดงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1889 ในกรุงปารีส งานชิ้นเอก คือหอคอยที่สูงกว่า 300 เมตรที่งดงาม และในที่สุดมันจะเป็นที่รู้จักในนาม หอไอเฟล
ตอนแรกหอคอยถูกเรียกว่า หอคอยแห่ง 320 เมตร , หอคอย 320 เมตร ต่อมามันก็กลายเป็น หอไอเฟล หอไอเฟลถูกวางในพื้นที่ราบเรียบของปารีส และก็ ทำรายได้มหาศาลให้กับ กุสตาฟ ไอเฟล เนื่องจากความมั่นใจถึงความสำเร็จของเขา กุสตาฟ ไอเฟล ได้ออกเงินในการก่อสร้างกว่า 80% และทำสัญญาเป็นผู้ดูแลหอนี้เป็นเวลา 20 ปี กุสตาฟ ไอเฟล มีห้องพักอยู่บนหอคอย ที่ซึ่งเขาทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และพบปะแขกคนสำคัญ ในปีแรก นักท่องเที่ยวกว่า 2 ล้านคน เดินทางขึ้นลิฟท์เพื่อชมทัศนียภาพของปารีสบนยอดหอคอย ก่อให้เกิดรายได้กว่า 1 ล้านดอลลาร์
กุสตาฟ ไอเฟล มีรายได้มาจากหอไอเฟลมาก เขาอาจเป็นวีรบุรุษของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1889 แต่อีก 1 ปี หลังจากนั้นเขาถูกตัดสินให้มีความผิด ในการหากำไรกับความล้มเหลวของฝรั่งเศสในการก่อสร้างคลองปานามา โครงการนี้เป็นความฝันของวิศวกรชาวฝรั่งเศสชื่อ เฟอร์ดินาน เดอ เลเซต ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างคลองสุเอด และตั้งใจจะทำเช่นนี้อีกในปานามา เดอ เลเซต ได้เชิญ ไอเฟล มาให้คำแนะนำในทางวิศวกรรมในการสร้างทางน้ำผ่านป่าทึบ ไอเฟล ได้เสนอแนวคิดระบบปิดกันน้ำแบบใหม่ แต่ เดอ เลเซต ไม่เห็นด้วย ผลที่ตามมาคือหายนะ การขุดคลอดไม่สามารถทำผ่านป่าทึบได้ รัฐบาลฝรั่งเศสแทบล้มลาย ผลกระทบทางการเมืองรุนแรงมาก ผู้ที่เกี่ยวข้องถูกประนาม- และ ไอเฟลก็ถูกตัดสินจำคุก 24 เดือน ซึ่งภายหลังถูกยกเลิก แต่บัดนี้ ไอเฟล ก็หมดความปรารถนาในการก่อสร้าง และไม่ได้สร้างอะไรอีกเลย
ขณะนั้น ไอเฟล มีอายุ 73 ปี และได้อุทิศตนให้กับงานด้านวิทยาศาสตร์ โดยให้ความสำคัญกับการค้นคว้าเกี่ยวกับ อากาศพลศาสตร์ และ ได้สร้างห้องทดลองของตนขึ้นและ ยังคงเปิดทำการจนถึงทุกวันนี้ กุสตาฟ ไอเฟล ทดสอบแรงต้านทานของลมเป็นครั้งแรก เพราะตลอดเวลาการทำงานที่ผ่านมาของเขา ลมคือศัตรูหมายหนึ่ง ในช่วง ค.ศ.1906-1909 ไอเฟล ตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับอากาศพลศาสตร์ และได้สร้างอุโมงค์ลมขึ้นเป็นแห่งแรก และเป็นจุดกำเนิดของการศึกษาด้านการบินของฝรั่งเศส
กุสตาฟ ไอเฟล เป็นวิศวกรที่ยอดเยี่ยมและเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในการสร้างหอคอยสูง 300 เมตร ในตอนแรกมีความตั้งใจว่าหอคอยนี้ จะมีอายุการใช้งานเพียง 20 ปี เขาเริ่มคุ้นเคยกับสถานะภาพชั้นสูงของปารีส และต่อมาเขาพยายามอย่างมากในการรักษาหอคอยเอาไว้ วิทยุเป็นสิ่งที่รักษาหอคอยเอาไว้ เนื่องจากความสูงของมัน สัญญาณวิทยุสา -มารถส่งไปถึงอเมริกาเหนือได้ ถึงแม้ต่อมาก็มีคำสั่งให้รื้อทิ้งในปี ค.ศ.1909 แต่หอไอเฟลก็รอดพ้นมาได้ โดย ช่วยเป็นเสาวิทยุให้ฝรั่งเศสติดตามสงคราม ที่กำลังก่อตัวขึ้นในเยอรมนี
มัน ถูกออกแบบให้เป็นผลงานชิ้นเอกในงานแสดงสินค้านานาชาติในปี ค.ศ.1889 บัดนี้นับกว่า 1 ศตวรรษการฉลองยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ผู้คนมากกว่า 1 พันคนได้มาเยี่ยมชมหอไอเฟลทุกๆ ชั่วโมง โดยมีลิฟท์ 4 ตัว ลิฟท์ 1 ตัวต่อ 1 ขา เคลื่อนที่ทำมุม 60 องศา หัวใจสำคัญในการเคลื่อนที่อยู่ภายใต้ขาหอคอยภายในสุสานใต้ดินนับร้อยปี -โดยใช้น้ำภายใต้แรงดันเป็นตัวขับลูกสูบไปผลักล้อเลื่อนให้ดึงสายเคเบิลขึ้น ไป เทคโนโลยีอายุร้อยปีถูกหล่อลื่นด้วยไขมันแกะและยังทำงานได้อย่างดี และลิฟท์ที่ชั้น 3 จะขนผู้โดยสายขึ้นไปบนยอดหอคอย
ที่บนสุด งานบำรุงรักษาดำเนินงานทุกวัน กลุ่มคนงาน 25 คนจะเดินไปตามนั่งร้านเหล็ก ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินงาน 18 เดือน ในการทาสีหอคอย ได้ใช้สีมากกว่า 50 ตัน - งานที่ต้องทำซ้ำๆ ในทุกๆ 7 ปี ไม่เพียงแต่ช่างทาสีที่อยู่บนหอคอยนี้เท่านั้น ช่างไฟฟ้าก็เดินดูตรวจตราหอคอยนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะมันจะต้องมีแผงทำความร้อนเพื่อควบคุมอุณหภูมิน้ำในท่อไม่ให้แข็งเพื่อ ป้องกันไม่ให้ท่อแตกเมื่ออุณหภูมิต่ำว่า -40 องศาฟาเรนไฮด์ และต้องดูแลหลอดไฟ 360 หลอด ซึ่งได้รับการตรวจสอบ และทำการเปลี่ยนเป็น-ประจำ เพื่อความสวยงามของหอคอย สีทีทาบนหอไอเฟล จะมีโทนสีเหลือง และการที่ถูกส่องด้วยไฟสีเหลือง ก็จะช่วยให้หอไอเฟล ถูกขับออกมาให้เด่นชัดมากขึ้น การให้แสงสว่างก็เพื่อให้หอไอเฟลเป็นดาวเด่นแห่งกรุงปารีส
ท้องฟ้าสี กุหลาบยามเย็น กัดสีผนังลายหินอ่อนของสถาปัตยกรรมในปารีส หอไอเฟลก็ยังคงตั้งอยู่ในฐานะของความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยี ความสำเร็จทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เป็นสัญลักษณ์แห่งกรุงปารีส และ เป็นยังคงเป็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศสเรื่อยไป




พระราชวังแวร์ซาย



 พระ ราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่เก่าแก่ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส แต่เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านของชาวนา พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงเป็นนักล่าสัตว์ได้มาพบจึงสร้างเป็นสถานที่นัดพบในการล่าสัตว์ และได้มีการขยายออกไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งกลายมาเป็นปราสาท พระราชวัง และมีการเลี้ยงฉลองกันเรื่อยมา
ปัจจุบัน พระราชวังนี้เป็นสัญญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของศิลปะและราชสำนักฝรั่งเศส สถาปนิกและวิศวกรรวมรวมทั้งมัณฑนากรหลายคน เช่น Le Vau, Mansart, Gabriel, Le Brun, Le Nôtre ได้ช่วยกันก่อสร้าง ตกแต่ง จนได้รับยกย่องว่าเป็นพระราชวังที่งดงามมาก ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลักซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัย สถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกา ในปี ค.ศ 1783
แว ร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี คศ 1789 ต่อมา ในปี ค.ศ 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และใช้เป็นสถานที่ลงนามในสัญญาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมัน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919


นอก จากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวนก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่นพักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆ
สิ่งที่ผู้เข้าชมพระราชวังจะอดชื่นชม ไม่ได้ คือ น้ำพุ มีน้ำพุมากมายและสวยงาม มีชื่อตามเทพเจ้ากรีกและโรมันต่างๆ เช่น อพอลโล และลาโตนเป็นต้น

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์



แต่ เดิมเป็นพระราชวังที่ใหญ่โตมากที่สุดของโลก สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าฟิลิปป์ ออกุสต์ ในปี ค.ศ 1204 แต่มาเสร็จในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ปี ค.ศ 1856 รวมใช้เวลาก่อสร้างถึง 7 รัชกาล เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่ ค.ศ 1791 ปัจจุบันพระราชวังเก่าแก่แห่งนี้ มีสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญและใหญ่โตที่สุดในปารีส ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่เก็บรักษาวัตถุโบราณต่างๆที่มีค่าและมีชื่อ เสียงของโลก เช่น ภาพเขียน La Jaconde หรือภาพโมนาลิซ่า อันเป็นภาพวาดของ Léonard de Vinci จิตกรและสถาปนิกชาวอิตาเลียน
พิพิธภัณฑ์นี้เป็นตึก 3 ชั้น ประกอบด้วยห้องถึง 225 ห้อง มีลวดลายสวยงาม
เป็น อย่างยิ่ง ทางตะวันตกของพิพิธภัณฑ์ติดกับแม่น้ำแซน ภายในมีวัตถุโบราณซึ่งเป็นศิลปะอันล้ำค่าจากชาติต่างๆที่ฝรั่งเศสเคยมี อิทธิพลปกครองมาในอดีต ส่วนใหญ่ได้มาจากตะวันออกกลางและอาณานิคมจากประเทศในเอเซีย เช่น รูป La Victoire de Samothrace, Vénus de Milo
พิพิธภัณฑ์นี้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันอังคารและวันหยุดของทางราชการ วันพุธและวันอาทิตย์เปิดให้เข้าชมฟรี
ใน ปี 1981 Monsieur Ioeh Ming Pei สถาปนิกชาวอเมริกัน ได้เริ่มโครงการสร้างทางเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นรูปปิรามิดแผ่นแก้ว ครอบคลุมเนื้อที่บนลาน Napoléon
เพื่อเป็นจุดรวมของทางเข้าพิพิธภัณฑ์อัน เป็นศูนย์กลางที่ให้ข้อมูลในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ใช้เป็นสถานที่นัดพบ ประชาสัมพันธ์ จุดเริ่มต้นของการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ โดยมีที่สำหรับนั่งพักผ่อน แผนกรับฝากของ ที่ทำการไปรษณีย์ ที่รับแลกเปลี่ยนเงิน สำนักงานท่องเที่ยว แผนกต้อนรับ ห้องประชุม เอนกประสงค์ขนาด 430 ที่นั่ง ห้องสมุด ร้านค้า ภัตตาคาร รวมถึงแผนกบริหารงานบุคคล ห้องเก็บของ ห้องสำหรับงานบูรณะปฏิสังขรณ์ ห้องปฎิบัติการทดลองด้วย การก่อสร้างทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี 1995 รวมเวลา 14 ปี

ใน ปี 1981 Monsieur Ioeh Ming Pei สถาปนิกชาวอเมริกัน ได้เริ่มโครงการสร้างทางเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นรูปปิรามิดแผ่นแก้ว ครอบคลุมเนื้อที่บนลาน Napoléon
เพื่อเป็นจุดรวมของทางเข้าพิพิธภัณฑ์อัน เป็นศูนย์กลางที่ให้ข้อมูลในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ใช้เป็นสถานที่นัดพบ ประชาสัมพันธ์ จุดเริ่มต้นของการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ โดยมีที่สำหรับนั่งพักผ่อน แผนกรับฝากของ ที่ทำการไปรษณีย์ ที่รับแลกเปลี่ยนเงิน สำนักงานท่องเที่ยว แผนกต้อนรับ ห้องประชุม เอนกประสงค์ขนาด 430 ที่นั่ง ห้องสมุด ร้านค้า ภัตตาคาร รวมถึงแผนกบริหารงานบุคคล ห้องเก็บของ ห้องสำหรับงานบูรณะปฏิสังขรณ์ ห้องปฎิบัติการทดลองด้วย การก่อสร้างทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี 1995 รวมเวลา 14 ปี

ประตูชัย


"ประตู ชัย" หรือชื่อในภาษาฝรั่งเศสว่า "Arc de Triomphe" ซึ่งตั้งอยู่บนถนนช็อง-เอลิเซ่ส์ที่ตำบลเอตัวล์ บริเวณจตุรัสแห่งดวงดาว (Place de l'Etoile) ประตูชัยสร้างและออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ "ช็อง ชาลแกร็ง" (Jean Chalgrin) ด้วยการออกแบบแนวนีโอคลาสสิค ซึ่งมีส่วนผสมของศิลปะแบบโรมันอยู่ด้วย สื่อความหมายถึงความสันติสุข และความเป็นปึกแผ่นของราชอณาจักรฝรั่งเศสที่ยิ่งใหญ่
ประตูชัยเริ่มก่อ สร้างในปี 1806 ในสมัย พระเจ้านโปเลียนที่1 เพื่อเป็นเกียรติแก่กองทัพฝรั่งเศสกับชัยชนะในยุทธการที่เอาส์เทอลิทซ์ แต่สร้างเสร็จในสมัยพระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิปส์ ราวๆปีค.ศ 1836 นับเป็นสิ่งก่อ สร้างที่ใช้เวลาสร้างยาวนานไม่น้อยประตูชัยมีความสูง 50 เมตร หนา 50 เมตร และกว้าง 45 เมตร ภายใต้ซุ้มโค้งประดับด้วยโล่ 30 อัน จารึกถึงการปฏิวัติที่สำคัญๆในฝรั่งเศส รวมถึงสมรภูมิการรบของจักรพรรดินโปเลียนไว้ด้วย ผนังด้านในจารึกชื่อของนายพล 558 ท่าน โดยชื่อของผู้ที่เสียชีวิตในสนามรบจะถูกขีดเส้นใต้เอาไว้ นอกจากจะเป็นอนุสรณ์ถึงนายทหารที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ผนังด้านในใต้ส่วนโค้งมีการตกแต่งด้วยรูปสลักอันสวยงามต่างๆซึ่งล้วนเป็น ศิลปะที่มีชื่อเสียง เช่น ผลงานชื่อ เดอปาร์ต เดส์ โวล็องติเอส (Depart des Volontiers) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ลา มาร์แซย์แยส (La Marseillaise) และผลงานเกี่ยวกับชัยชนะจากสมรภูมิทางทิศตะวันตกของพระเจ้านโปเลียน
ที่ ตอนบนของส่วนโค้งเป็นภาพนูนต่ำ แสดงถึงพิธีศพของ มาร์โซ (Marceau) สงคราม อาเล็กซานเดรีย (Alexandrie) ออสเตร์ลิทซ์ (Austerlitz) นอกจากนี้บริเวณภายใต้โค้งแห่งนี้ ยังใช้เป็นที่ฝังศพของทหารนิรนามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 (Le tombeau du Soldat Inconnu) ระหว่าง ค.ศ 1914-1918 ซึ่งยอมสละชีวิตเพื่อประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบัน ประตูชัยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส นอกเหนือจากหอไอเฟล นักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วโลก หลั่งไหลไปชื่นชมศิลปะที่ สวยงามและความงามของริเวณจตุรัสแห่งดวงดาว (Place de l'Etoile) พร้อมเดินล่องไปตามถนนช็อง-เอลิเซ่ส์ที่หรูหรา และเป็นแหล่งแฟชั่นชั้นนำของโลก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://perfectworkshop.blogspot.com/2009/06/blog-post_26.html

London - 10 Things You Need To Know

เที่ยวอังกฤษด้วยตนเอง

เดินทางท่องเที่ยวอังกฤษไม่ยากอีกต่อไปเพราะเราจะนำเสนอข้อมูลและวิธีเดินทางที่ทำให้คุณสามารถเดินทางท่องเที่ยวอังกฤษด้วยตัวเอง อีกทั้งที่อังกฤษยังมีระบบการคมนาคมที่สะดวกสบาย จึงเหมาะอย่างสำหรับผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวอังกฤษด้วยตัวเอง หากท่านเบื่อหรือเคยเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ประทับใจในการไปท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ เว็บไซต์นี้จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการไปทัวร์อังกฤษด้วยตนเอง หรือเรียกว่า เที่ยวอังกฤษ ไม่ง้อทัวร์

Train station london




เมื่อพูดถึงอังกฤษ หลายๆ คนนึกถึงเมืองหลวงที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งก็คือ ลอนดอน การเดินทางท่องเที่ยวลอนดอนด้วยตัวเอง นั้นก็แสนจะสบายด้วยบริการรถไฟใต้ดินที่มีแผนที่ให้ฟรีที่สถานี ตลอดจนรถเมล์ที่มีให้เลือกมากมายหลายเส้นทาง เพียงซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินโดยเฉพาะแบบ One day Travel ที่หาซื้อได้สะดวกตามเครื่องจำหน่ายตั๋วตามสถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งเจ้าตั๋วแบบนี้ยังช่วยให้เราขึ้นๆ ลงๆ รถไฟใต้ดินได้ตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มและมันยังสามารถใช้ในการขึ้นรถเมล์ได้อีกต่างหากโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเช่นกัน ส่วนแผนที่ก็มีอยู่ทั่วไปตามสถานีรถไฟ
หากใครต้องการไปอังกฤษ แล้วไม่อยากจะพลาดการไปท่องเที่ยวตามเมืองอื่นๆ ของการไปอังกฤษ ก็ไม่ได้มีความยากอะไรเลย ที่อังกฤษ ก็มีรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเหนือลงใต้ รถไฟมีไปทั้งนั้น

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวโรแมนติกที่สุดในโลก

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่คู่รัก จะต้องแสดงออกถึงความรักระหว่างกันและกัน การแสดงออกในเรื่องความรัก หมายถึง การทำให้ฝ่าตรงข้ามรู้สึกประทับใจ รู้สึกดี รู้สึกผูกพัน รู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเกิดประโยชน์มากขึ้น วิธีแสดงออกถึงความรัก ที่เป็นที่นิยมอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การได้ใช้เวลาไปท่องเที่ยวพักผ่อนด้วยกันในสถานที่สวย ๆ เพื่อเพิ่มความโรแมนติก และกระชับสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นไปอีก

ต่อไปนี้คือ 10 อันดับสถานที่ ที่ถูกจัดว่า มีความโรแมนติกมากที่สุดในโลก ซึ่งน่าจะหาโอกาสพาคนรัก ไปเยี่ยมชม สักครั้งหนึ่งในชีวิต


ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 10. Colmar ประเทศฝรั่งเศส เมือง Colmar ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความโรแมนติก เมืองหนึ่ง ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นสถานที่ที่คู่รัก มักจะให้คำสัญญาในความรักระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมือง Colmar ก็คือ ไร่องุ่นจำนวนมาก เคียงคู่ไปกับอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยม และบรรยากาศ ที่สวยงาม สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ช่วยทำให้เมือง Colmar เป็นอีกหนึ่งในสถานที่โรแมนติกในฝัน
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 9. Paris ประเทศฝรั่งเศส เมืองปารีส มีสมญานามว่า สวรรค์แห่งความโรแมนติก” (Heaven of Romantic) ดังที่ สถานที่แห่งนี้ เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่คุณและคนรัก จะสารภาพรักนิรันดร์ระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมืองปารีส อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์Le Louvre (พิพิธภัณฑ์ ที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก) หอไอเฟล , โรงแรม Disney Land Resort ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Centre Pompidou และสถานที่สวยงามอื่น ๆ อีกมากมาย การไปเที่ยวกับคนรักที่ปารีส หากจัดสรรเวลาให้ดีก็จะคุ้มค่ามาก และสถานที่แห่งนี้จะเก็บความโรแมนติกอยู่ในใจของคุณไปอีกนานแสนนาน
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 8. Venice ประเทศอิตาลี หากคุณกำลังมองหาสถานที่ ที่จะเอ่ยกับคนรักว่า เขาหรือเธอ เป็นคนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต Venice ก็คือ คำตอบสุดท้ายสำหรับคุณ! เมือง Venice มีชื่อเสียงโด่งดังในด้าน สุดยอดสถาาปัตยกรรม และยังมีหลายสถานที่โรแมนติก เช่น สะพานเก่าแก่ Ponte dei Sospiri, จตุรัส Piazza San Marco ที่ได้รับสมณานามว่าห้องจิตกรรมของยุโรป” (The - drawing room of Europe) และคลองในตัวเมือง “Canale Grande” ทั้งหมดนี้จะสร้าง ความโรแมนติก ระดับหรูหรา ให้กับคนรักและตัวคุณ
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 7. Schloss Neuschwanstein ประเทศเยอรมันนี สถานที่ที่ผสมผสาน ความสวยงามตามธรรมชาติ เข้ากับจินตนาการ และความสร้างสรรค์ของมนุษย์ ได้อย่างลงตัว เมือง SchlossNeuschwanstein มีความสวยงาม ราวกับเป็นสวรรค์บนพื้นโลก รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันสวยงาม ปราสาทเก่าแก่อายุ 100 กว่าปี (สร้างปี 1899) ซึ่งเยอรมัน ได้ถูกกล่าวขานว่า เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีปราสาทสวยงามที่สุดในยุโรป
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 6. Vienna ประเทศออสเตรีย เมือง Vienna ในประเทศออสเตรีย เป็นอีกสถานที่ที่มีคู่รักจากทั่วทุกมุมของโลก แวะเวียนมาเยี่ยมชมความสวยงาม สิ่งที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้คือ สุดยอดสถาปัตยกรรม และสุดยอดผลงานเพลง, ศิลปะ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก พระราชวัง Schoenbrunn, พระราชวัง Belvedere, พระราชวัง The Hofburg Imperial และพิพิธภัณฑ์นักจิตวิทยาผู้โด่งดัง Sigmund Freud
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 5. Monte Carlo ประเทศโมนาโค เมือง Monte Carlo ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่โรแมนติก ที่คุณจะได้สื่อความรัก ไปยังคนรักของคุณ เมืองนี้ตั้งอยู่ที่ตีนของเทือกเขาแอลป์ และเป็น สถานที่ที่มีเรื่องราวของความรัก ก่อกำเนิดขึ้นมากมาย สิ่งที่น่าสนใจของเมือง Monte Carlo คือบ่อนคาสิโนเลื่องชื่อ (Monte Carlo Casino) พิพิธภัณธ์ทางทะเล, พิพิธภัณฑ์ประจำชาติ และพระราชวัง Prince
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 4. Prague สาธารณรัฐเช็ก อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับสถานที่โรแมนติก ก็คือ เมือง Prague ของสาธารณรัฐเช็ก สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย วัฒนธรรม และปราสาทเก่าแก่ ผู้คนที่มีมิตรไมตรี และสุภาพอ่อนโยน เมือง Prague เป็นสถานที่เกิดของนักดนตรีระดับโลก อย่าง Mozart และมีชื่อเสียง ในเรื่องของทางเดินอันสวยงามในเมือง ที่คู่รักสามารถใช้เวลาเดินเล่นด้วยกัน
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 3. New York ประเทศสหรัฐอเมริกา เมือง New York เหมาะสำหรับคู่รัก ที่กำลังมองหาสถานที่ที่จะใช้ช่วงเวลาแห่งความรัก และความโรแมนติกในหลากหลายรูปแบบร้านอาหารและร้านค้าจำนวนมาก และสถานที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น สถานีรถไฟ Grand Central Terminal, อนุสาวรีย์เทพีสันติภาพ และสวนหย่อมขนาดใหญ่ Central Park (มีกิจกรรมคอนเสิร์ต, มีลานสเก็ตน้ำแข็ง)
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 2. Cairo ประเทศอียิปต์ เมือง Cario ก็ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นสวรรค์บนโลกเช่นเดียวกัน (โดยเฉพาะสำหรับคู่รัก) ความงดงามและมนต์เสน่ห์ที่อยู่ในตัวเมือง คือแรงดึงดูด ให้คู่รักเดินทางมาใช้เวลาท่องเที่ยวที่นี่ด้วยกัน และปิรามิด ก็คือสิ่งที่พิเศษที่สุด ท่ามกลางความสวยงามในตัวเมือง
ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่ท่องเที่ยวโรแมนติก
อันดับที่ 1. Mauritius Island มหาสมุทรอินเดีย สถานที่แห่งนี้ ได้รับการกล่าวขานว่าปลายทางสุดท้าย ที่โรแมนติกมากที่สุด” (Ultimate Romantic Destination) เกาะ Mauritius มีชื่อเสียง อย่างมาก ในหมู่คู่รักที่จะมาท่องเที่ยว หรือคู่รักที่จะมาฮันนีมูล ต้นปาล์มมากมายที่เคลื่อนที่พริ้วไหว ไปตามสายลม บรรยากาศที่สวยงามตามธรรมชาติ แนวหินปะการัง และท้องทะเลสีฟ้า เป็นส่วนหนึ่งในอีกหลาย ๆ สิ่ง ที่ทำให้สถานที่แห่งนี้สวยงามจนยากที่จะลืมเลือน
ขอบคุณข้อมูลจาก gunnerthailand.com

Switzerland

1. Bern         เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์เป็นเมืองโบราณเก่าแก่และโรแมนติก การเดินเที่ยวชมความงดงามของสถาปัตยกรรมในเขตเมืองเก่า เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเมื่อมีโอกาสได้มาเยือนนครแห่งนี้
        Bern สร้างขึ้นเมื่อ 800 ปีที่แล้ว โดยมีแม่น้ำ Aare ล้อมรอบตัวเมือง แม่น้ำแห่งนี้เปรียบเหมือนปราการธรรมชาติซึ่งป้องกันเมืองไว้ทั้งสามด้าน สำหรับด้านที่สี่ชาวเมืองได้สร้างกำแพงและสะพานข้ามที่สามารถชักขึ้นลงได้ และโดยการรักษาผังเมืองให้มีสภาพดังเดิมตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา Bern จึงได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกของ UNESCO ซึ่งเป็นเมืองเดียวในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
        การเดินชมเมืองควรเริ่มจาก Rose Garden เพียง 5 นาทีก็จะพบกับบ่อเลี้ยงหมีของเมือง ( หมี เป็น สัญลักษณ์ของ Bern ) จากนั้นเมื่อเดินข้ามสะพานมา ก็จะเริ่มเข้าเขตเมืองเก่า ที่มีหลังคาคลุมตลอดทางยาวถึง 6 กิโลเมตร ภายใต้หลังคานี้มีร้านค้ามากมายหลายร้อยแห่ง รวมทั้งภัตตาคารที่มีมากกว่า 150 แห่งในเขตเมืองเก่า และด้วยการดูแลรักษาสถาปัตยกรรมของเมืองอย่างดี Bern ยังเปรียบเหมือนเหมืองทองของนักถ่ายภาพอีกด้วย นอกจากนั้น Bern ยังมีโบสถ์ที่สูงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้ง ตลาดนัดชาวนา ซึ่งจัดขึ้น 2 ครั้งต่อสัปดาห์ที่หน้ารัฐสภาของเมืองแห่งนี้





Rose Garden





2. Interlaken

        "สวยเหมือนเมืองในฝัน" คือคำจำกัดความของ Interlaken ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบ Thun และ Brienz สถานที่ตากอากาศชั้นนำส่วนใหญ่ในถิ่นที่เรียกกันว่า Bernese Oberland ตั้งอยู่ตามเชิงเขา Eiger, Monch และ Jungfrau ทิวทัศน์แถบนี้บริสุทธิ์และสวยงามเกินคำบรรยาย จึงเป็นสถานตากอากาศที่นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกชื่นชอบมากที่สุด
        Jungfraujoch หลังคาแห่งยุโรป ล่าสุดได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกของ Unescoเมื่อเดือนธันวาคม 2544 สถานีรถไฟสูงที่สุดในยุโรป ที่ไม่สามารถลืมไปได้ ในการทัศนาจรภูเขา ซึ่งมีความสูงถึง 3454 เมตร พบกับสิ่งสวยงามที่นี่คือ วังน้ำแข็ง และทัศนียภาพ ที่งดงามประกอบไปด้วย Sphinx หอคอยชมทัศนียภาพ ที่อยู่เหนือธารน้ำแข็ง Aletsch ( ยาวที่สุดในเทือกเขา Alps ) และยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ของประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมกันนี้ยังจะเดินเล่นบนหิมะ นั่งกระดานเลื่อนโดยมีสุนัข Husky ลาก สนามเล่นสกี สโนว์บอร์ทสำหรับฤดูร้อนหรือ ท่านที่ชอบการท้าทาย ก็มีการผจญภัยอีกหลายอย่าง รับรอง 100% ท่านจะพบกับ หิมะ และน้ำแข็งที่นี่
        Mount Schilthorn Piz-Gloria จับรถไฟจาก INTERLAKEN สู่ LAUTERBRUNNEN ใช้เวลาประมาณ 35 นาที และจาก LAUTERBRUNNEN BLM ขึ้นเขาไปหมู่บ้าน MURREN เป็นหมู่บ้านปลอดรถยนต์ โดยรถรอกกว้าน (FUNICULAR) ต่อจากนั้นขึ้นรถกระเข้าที่ MURREN ไปยอดเขาชินธอน ที่ MOUNT SCHILTHORN PIZ-GLORIA มีภัตตาคารหมุนอยู่บนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3000 เมตร ถ้าอากาศดีจะมองเห็นเทือกเขาแอล์ปได้รอบด้านตั้งแต่เยรมันจนถึง ฝรั่งเศสวิวทิวทัศน์สวยงามตระการตาอย่างยิ่ง
        Grindelwald รถไฟใช้เวลาประมาณ 35 นาที ขนาบข้างด้วยธารน้ำแข็ง 2 ด้านที่ทอดตัวยาวลงมาจากภูเขาสูงสู่หุบเขา จากที่นี่จะมองเห็นภูเขา Eiger ทางด้านเหนือ (North Face) ที่ยืนหยัดท้าทายผู้พิชิตความสูงมาแล้วมากมายและ Wetterhorn ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3701 เมตร
        Schynige Platte Alpine Garden มีพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามเทือกเขาแอล์ปให้ดูหลายชนิดใช้เวลาเดินชม 3-4 ชั่วโมง ค่าเข้าชม 40 ฟรังซ์ ต้องขึ้นรถไฟไปบนยอดเขา บน Schynige Platte มี Paragliding ให้ลองด้วย
        ล่องเรือในทะเลสาบ Thun และ Brienz ในวงล้อมของภูเขาสูง แวะชมปราสาท Thun ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่จัดแสดงในห้องโถงใหญ่ของปราสาท เปิดให้ชมระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เดือนตุลาคม
        Spiez ชมปราสาทโบราณที่เปิดรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ถึงกลางเดือนตุลาคม ค่าโดยสารเรือฟรีโดยใช้สวิสพาสส์
        พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Ballenberg แสดงให้เห็นถึงชาติพันธุ์และการดำรงชีวิตในสมัยโบราณ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ถึง 31 ตุลาคม
        ล่องแพครึ่งวันกับไกด์นำเที่ยวรอบๆ Interlaken ราคาตั้งแต่ 54-84 ฟรังซ์ต่อคน ขึ้นอยู่กับรายการนำเที่ยว
        การผจญภัยตามช่องเขา น้ำตก ว่ายน้ำ สำรวจถ้ำ และเดินเท้า (Canyoning) ราคา 80-120 ฟรังซ์ต่อคน พร้อมไกด์นำเที่ยว

ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์, เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์





3. Luzern
        Water Tower และ Chapel Bridge เป็นสัญลักษณ์ของเมือง Lucerne ที่นักท่องเที่ยวจำได้ทันทีที่เห็น สร้างมานานกว่า 650 ปีแล้ว ตัวเมืองเก่าเริ่มจากฝั่งแม่น้ำ Reuss มีสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างที่น่าสนใจหลายแห่ง เมือง Luzern จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวเกือบตลอดปี เพราะเป็นเมือง ชอปปิ้งที่อยู่ระดับแนวหน้าของสวิตเซอร์แลนด์ จะมีตลาดนัดเป็นประจำทุกวันอังคารและวันเสาร์ ด้วย


Water Tower

Chapel Bridge
4. Lausanne         เมืองโลซานน์เป็นเมืองที่สงบและงดงามมากอยู่ติดกับทะเลสาบ เจนีวามีท่าเรือข้ามไปสู่ประเทศฝรั่งเศสได้ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์โอลิมปิค ซึ่งท่านจะพบกับการแสดงอันยิ่งใหญ่ของวินาทีแห่งประวัติศาสตร์โอลิมปิคกับสุดยอด Special Effect ที่จะทำให้คุณย้อนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ชมหลักฐานที่สำคัญต่างๆในซุ้มนิทรรศการ ห้องจัดแสดงงาน ศูนย์ข้อมูลพร้อมศูนย์อำนวยความสะดวกต่างๆอย่างครบครัน รับฟรีบัตรเข้าชม Olympic Museum สำหรับท่านที่จองสวิตเซอร์แลนด์แพคเกจ




 Olympic Museum



5. Zurich
        เมืองใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ศูนย์กลางการค้าทองคำของโลก ตั้งอยู่ทิศเหนือสุดของทะเลสาบ Zurich ศูนย์กลางสำคัญของธุรกิจพาณิชย์ เศรษฐกิจและการเงิน มีโรงละครโอเปร่า คอนเสิร์ต พิพิธภัณฑ์ โบสถ์และวิหารเก่าแก่อย่าง Grossmunster และ Fraumunster ที่จะพลาดไม่ได้เป็นอันขาดคือถนน Bahnhofstrasse ที่ขึ้นชื่อลือชาหนักหนาว่าแต่ละร้านล้วนตกแต่งประดับประดากันอย่างอลังการ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ตลอดสองข้างทางของถนนมีห้องเสื้อชั้นนำของยุโรป, รองเท้า, กระเป๋า, เครื่องประดับนานาชนิด และที่ขาดไม่ได้เลยคือร้านขายนาฬิกา
        Zurich มีรถรางและรถโดยสารบริการควบคู่กันไป การเดินทางไปที่ต่างๆ จึงสะดวกและประหยัดท่านสามารถใช้สวิสพาสส์ได้อีกเช่นเคย ในส่วนของเมืองเก่า น่าเดินเที่ยวเพราะมีร้านขายของเก่า ร้านภาพเขียนทั้งเก่าและใหม่ และร้านหนังสือดีๆ ตลอดจนถึงสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านอีกด้วย
ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์, เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์
ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์, เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์

California King Bed - Rihanna